วันจันทร์ที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2558

ภาพหลุดก่อนวัยอันควร Honda Fit Shuttle กับสูตรผสมที่ลงตัว...!!

     นี่คือภาพหลุดสิทธิบัตรของ Honda Fit Shuttle รถยนต์แบบ 7 ที่นั่ง ที่มีชื่อเสียงในญี่ปุ่นเป็นเวลานาน โดยภาพหลุดนี้เราได้เห็นแล้วว่ามันเป็นการนำเอา Honda Jazz รุ่นล่าสุดมาเป็นพื้นฐานนั่นเอง...!!






     ภาพหลุด Honda  Fit Shuttle ชุดนี้มาจากเว็บไซต์ Joke For Blog จะเห็นได้ว่าด้านหน้ามีความคล้ายคลึง Honda Mobilio และ Honda jade ซึ่งมีความลงตัวพอสมควร เส้นสายด้านข้างแทบจะยกมาจาก Jazz ที่ต่อเนื่องไปจนถึงไฟท้าย ส่วนภายในจะใช้วัสดุที่มีระดับมากขึ้น
     ขุมพลังของ Honda Fit shuttle คาดว่าจะเป็นเครื่องยนต์เบนซิน ที่มีสมรรถนะที่ดี แต่ยังให้ความประหยัดและรักษาสิ่งแวดล้อมเฉกเช่นเดียวกับเครื่องยนต์ไฮบริด
     ภาพหลุดสิทธิบัตร Honda Fit Shuttle ชุดนี้ ยังไม่มีข้อมูลเพิ่มเติมมากนัก รวมถึงช่วงเวลาการจำหน่ายเพื่อทำตลาดด้วย แต่เป็นรถอีกรุ่นของฮอนด้าที่น่าสนใจ...และอาจจะไม่เข้าไทย!!

วันอาทิตย์ที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2558

จะเป็นอย่างไรเมื่อ Toyota จับ Mazda 2 ไปขายในชื่อ Scion iA ในอเมริกาเหนือ!!



     ก่อนหน้านี้หลายคนคงเคยได้ยินข่าวคราวที่ว่า Toyota จะจับเอารถ Mazda ไปขายในแบรนด์ตัวเองจากโรงงานผลิตในเม็กซิโก ซึ่งตอนนี้ค่อนข้างแน่ชัดแล้วว่าจริง!!
      ล่าสุดมีภาพหลุดของ Scion iA ซึ่งแท้ที่จริงแล้วก็คือ All New Mazda 2 Sedan นั่นเองครับ ซึ่งด้านหน้าจะมีการเปลี่ยนแปลงใหม่ให้ต่างกันด้วยการปาดไฟหน้าให้ดูเรียวแหลมขึ้น และช่องดักลมด้านล่างขนาดใหญ่คล้ายเฟียสต้า แต่สัดส่วนนั้นแทบไม่ต่างกัน
     Scion iA คันนี้จะทำตลาดซับคอมแพคท์ซีดานในอเมริกาเหนือ ซึ่งทาง Mazda ก็ไม่ได้มีแผนที่จะเอา Mazda 2 Sedan ไปทำตลาดในสหรัฐอเมริกา แต่ Scion iA ที่จะทำตลาดก็เป็นเพียงการต่อลมหายใจให้กับ Scion เท่านั้น หลังจากที่สร้างยอดขายได้ไม่ดีในปีที่แล้ว...!!

วันจันทร์ที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2558

Ford Ranger Minorchange ใหม่ เทคโนโลยีล้ำ ดับเครื่องชนไม่สนใคร...!!

       เปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยสำหรับ Ford Ranger Minorchange ใหม่ ครั้งแรกในโลกที่เมืองไทย ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงไปเยอะพอสมควรเลยทั้งภายนอกและภายใน รวมไปถึงอุปกรณ์และเทคโนโลยีต่างๆ ด้วย ซึ่งแน่นอนว่า Option ที่ให้มานั้นจัดเต็มจริงๆ เนื่องมาจากเป็นการเปิดตัวแบบ โกลบอล ลอนซ์ แต่บ้านเราจะได้ใช้อะไรมากน้อยแค่ไหน นั่นก็อีกเรื่องหนึ่ง...!!



       Ford Ranger Minorchange โฉมใหม่ มีเส้นสายที่ดูบึกบึน ทรงพลัง และเปลี่ยนแปลงจากตัวเดิมเป็นอย่างมาก เริ่มที่ไฟหน้าที่ให้มาแบบโปรเจ็กเตอร์ พร้อมไฟ DRL กระจังหน้าทรงสี่เหลี่ยมคางหมูโครเมี่ยมทอดยาวลงไปสอดรับกับกันชนหน้า ฝากระโปรงหน้าที่ดูดุดันเป็นเอกลักษณ์ที่เสริมให้ตัวรถดูแข็งแกร่ง ด้านข้างจะมีช่องระบายอากาศหลอกทรงใหม่ และบ่งบอกถึงเครื่อยนต์และระบบเกียร์ ส่วนด้านท้ายยังคงเป็นแบบทรงเดิม
       
       ภายในห้องโดยสารนั้น เรียกได้ว่าทิ้งของเก่าออกไปทั้งหมด เปลี่ยนมาเป็นแบบ Everest เลยครับ แผงแดชบอร์ดสปอร์ต ดุดัน แต่ยังให้ความหรูหราไว้อยู่ กว้างขวาง โดดเด่นด้วยหน้าจอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว กลางแผงคอนโซล ส่วนแผงหน้าปัดควบคุมแบบหน้าจอคู่ ทีเอฟที (Dual TFT) แสดงข้อมูลของตัวรถและสถานะของฟังก์ชันต่างๆ อย่างครบครัน ทั้งระบบความบันเทิง ระบบนำทาง และระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติ


ระบบอินโฟเทนเมนท์ใหม่ใน Ford Ranger Minorchange มีดังนี้
- ระบบสั่งงานด้วยเสียง ซิงค์ 2 ระบบเชื่อมต่อเพื่อการสื่อสารภายในตัวรถรุ่นล่าสุด ช่วยให้ผู้ขับขี่ควบคุมระบบต่างๆ ของตัวรถได้อย่างชาญฉลาดและปลอดภัยยิ่งขึ้น ด้วยระบบการรับคำสั่งผ่านเสียง โดยผู้ขับขี่สามารถพูดคำสั่งภาษาอังกฤษเช่น “Temperature 20 degrees” “play AC/DC” หรือ “I’m hungry” เพื่อควบคุมระบบปรับอากาศ ระบบความบันเทิง หรือระบบนำทางของรถได้ทันที 
- จอสัมผัสขนาด 8 นิ้ว และคำสั่งแบบแยกสี ช่วยให้การเลือกใช้งานเมนูต่างๆ ง่ายยิ่งขึ้น 
- ทั้งยังติดตั้งช่องชาร์จไฟแบบ 240 โวลต์ ซึ่งสามารถใช้ชาร์จไฟคอมพิวเตอร์โน๊ตบุคได้อีกด้วย




เรามาดูขีดความสามารถของ Ford Ranger Minorchange ดีกว่าครับว่าจะมีอะไรที่โดดเด่นบ้าง!!

       Ford Ranger Minorchange จะมีพื้นรถสูง 230 มิลลิเมตร ออกแบบมาเพื่อรับมือกับเส้นทางวิบากด้วยมุมตัดที่ 28 องศา และ มุมจากที่ 25 องศา และสามารถลุยน้ำได้ที่ความลึกถึง 800 มิลลิเมตร ซึ่งถือว่าลึกที่สุดในรถประเภทนี้ สามารถลากจูงน้ำหนักได้สูงสุด 3,500 กิโลกรัม และรับน้ำหนักบรรทุกสูงถึง 1,175 กิโลกรัม ในขณะที่ระบบขับเคลื่อนแบบสี่ล้อที่ควบคุมแบบระบบอิเล็กทรอนิกส์ สามารถเลือกโหมดทำงานได้ทั้งแบบขับเคลื่อนสองล้อ และสี่ล้อเกียร์สูงได้ด้วยการหมุนปุ่มที่คอนโซลกลาง ส่วนในสถานการณ์ที่ต้องใช้แรงบิดสูงที่ความเร็วต่ำ หรือกรณีที่ต้องเบรกขณะลงเขา ผู้ขับขี่ก็สามารถปรับไปใช้งานโหมดขับเคลื่อนสี่ล้อเกียร์ต่ำได้ ส่วนชุดเฟืองท้ายแบบอิเล็กทรอนิกล็อค เสริมให้รถเกาะถนนได้ดียิ่งขึ้นในสภาวะการขับขี่ที่ยากลำบาก และพวงมาลัยเปลี่ยนมาใช้แบบไฟฟ้า

       ส่วนเครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค TDCI 5 สูบ ขนาด 3.2 กำลังสูงสุด 200 แรงม้า แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร และเครื่องยนต์ดีเซล ดูราทอร์ค 4 สูบ ขนาด 2.2 ลิตร 160 แรงม้า แรงบิด
สูงสุด 385 นิวตัน-เมตร และเครื่องยนต์ 2.2 เพิ่มแรงม้าจาก 92 kw เป็น 96 kw แรงบิด 330 นิวตัน-เมตร รวมถึงเครื่องยนต์เบนซิน ดูราเทค ขนาด 2.5 ลิตร ปรับแรงบิดลดลงจาก 226 นิวตัน-เมตร เป็น 225 นิวตัน-เมตร ส่วนระบบส่งกำลังจะมีให้เลือกทั้งเกียร์ธรรมดา 6 จังหวะ หรืออัตโนมัติ 6 จังหวะ
     
      เรนเจอร์ ใหม่ ยังติดตั้งระบบสตาร์ทและดับเครื่องอัตโนมัติ (Automatic Start/Stop) ซึ่งจะดับเครื่องขณะที่รถหยุดนิ่งอยู่กับที่ เช่น ขณะที่รอสัญญาณไฟเขียว ช่วยประหยัดน้ำมันสูงถึง 3.5 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอัตราทดเฟืองท้ายได้รับการปรับแต่งยาวขึ้น ช่วยให้ประหยัดน้ำมันดียิ่งขึ้นเมื่อขับขี่ที่ความเร็วสูง 




       
เทคโนโลยีอัจฉริยะใน 
Ford Ranger Minorchange ใหม่ 
       
       -  ระบบช่วยเตือนการขับขี่ในช่องทาง (Lane Keeping Alert) และระบบรักษาช่องทางขับขี่ (Lane Keeping Aid) โดยระบบทั้งสองจะทำงานร่วมกันเพื่อป้องกันไม่ให้ผู้ขับขี่เบนตัวรถออกจากช่องทางโดยไม่ตั้งใจ ในขณะที่ขับขี่ด้วยความเร็วสูง โดยหากกล้องด้านหน้ารถมองเห็นว่ารถกำลังเบนหัวออกจากช่องทางขับขี่ ระบบจะทำการแจ้งเตือนโดยจะทำการสั่นพวงมาลัยเพื่อเตือนผู้ขับขี่ และหากผู้ขับขี่ไม่หันหัวรถกลับเข้าสู่ช่องทางเดิม ระบบรักษาช่องทางขับขี่ก็จะใช้แรงบิดจากพวงมาลัยเพื่อเบนรถให้กลับสู่เลนที่ถูกต้อง


       - ระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้า (Adaptive Cruise Control) ใช้อุปกรณ์เรดาร์ช่วยรักษาความเร็วตามที่ตั้งค่าไว้ และช่วยรักษาระยะห่างจากรถคันหน้าอีกด้วย เมื่อระบบตรวจพบว่ามีรถยนต์คันอื่นอยู่ข้างหน้า จะทำการลดความเร็วเพื่อป้องกันอุบัติเหตุ ก่อนจะเร่งกลับมาที่ความเร็วที่ตั้งไว้เมื่อถนนโล่ง ส่วนฟังก์ชั่นจำกัดความเร็วแบบตั้งค่าได้ ช่วยป้องกันไม่ให้ผู้ขับขี่เร่งความเร็วเกินกว่าที่กำหนดไว้โดยไม่ตั้งใจ


       - ระบบเตือนป้องกันการชนรถคันหน้า (Forward Alert) ทำงานร่วมกับระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติแบบรักษาระยะห่างระหว่างรถคันหน้า เพื่อส่งสัญญาณเตือนผู้ขับขี่ด้วยสัญญาณไฟและเสียง หากตัวรถเข้าใกล้รถคันหน้ามากเกินไป ระบบจะเริ่มควบคุมการเบรกเพื่อให้สามารถหยุดรถได้ทันท่วงทีหากจำเป็น


       - สัญญาณเตือนระยะเดินหน้าและถอยหลัง (Front and Rear Park Assist) ใช้อุปกรณ์เซนเซอร์ตรวจจับสิ่งกีดขวางขณะจอดรถ และส่งสัญญาณเสียงเตือนหากรถเข้าใกล้สิ่งกีดขวางดังกล่าวที่ความเร็วต่ำ ส่วนกล้องมองหลังช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นด้านท้ายรถอย่างชัดเจน สามารถจอดรถหรือเตรียมการพ่วงรถได้อย่างมั่นใจ


       - ระบบตรวจสอบวัดและแจ้งเตือนลมยาง (Tire Pressure Monitoring System) เสริมความปลอดภัยและช่วยประหยัดน้ำมันด้วยการเตือนผู้ขับขี่ หากความดันยางต่ำเกินไป


       - ระบบควบคุมเสถียรภาพการทรงตัว (Electronic Stability Program) พร้อมระบบป้องกันการพลิกคว่ำและลดอาการส่ายขณะลากจูงเทรลเลอร์ ช่วยให้รถอยู่ในการควบคุมได้เสมอ แม้ในสภาวะการขับขี่ที่ยากลำบาก


       - ระบบตรวจสอบผู้ขับขี่ (Driver Impairment Monitor) ใช้กล้องหน้าและเซนเซอร์ตรวจจับผู้ขับขี่ว่ามีอาการง่วงหรือหลับในหรือไม่ โดยหากพบว่ารถเริ่มวิ่งออกจากเส้นทางหรือมีการกระตุกพวงมาลัยบ่อยครั้ง ระบบจะส่งสัญญาณเสียงเตือนผู้ขับขี่ โดยใช้ระดับเสียงที่ดังขึ้นเรื่อยๆ จนกว่าจะกลับสู่สภาวะปกติ


       - ในบางประเทศ ฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่ จะมาพร้อมกับระบบขอความช่วยเหลือฉุกเฉิน (Emergency Assistance) ที่เชื่อมต่อกับโทรศัพท์มือถือผ่านสัญญาณบลูทูธเพื่อติดต่อเจ้าหน้าที่ในกรณีเกิดอุบัติเหตุ โดยระบบจะแจ้งรายละเอียดและตำแหน่งของตัวรถโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเปิดสายให้ผู้ขับขี่สนทนากับเจ้าหน้าที่ต่อไป


       - เทคโนโลยีอัจฉริยะอื่นๆ ในฟอร์ด เรนเจอร์ ใหม่รวมถึง 

- ระบบช่วยการออกตัวขณะจอดบนทางลาดชัน (Hill Launch Assist) 
- ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา (Hill Descent Control) 
- ระบบควบคุมการบรรทุก (Adaptive Load Control) 
- ระบบเบรกฉุกเฉิน (Emergency Brake Assistance) 
- ถุงลมนิรภัย 6 ตำแหน่ง

       
       Ford Ranger Minorchange ใหม่ เปิดตัวที่แรกในประเทศไทย แต่จะขายประมาณเดือนสิงหาคม ต้องรอดูสเปคอย่างเป็นทางการจากฟอร์ด ประเทศไทยอีกทีว่าจะให้อะไรมาบ้าง รวมถึงราคาด้วยครับ...!!



************************************************************************************************************

เปิดแล้ว!! Toyota Alphard และ Vellfire เติมความหรู ชูราคา 3.399-4.649 ล้านบาท!!

     บริษัท โตโยต้า มอเตอร์ ประเทศไทย จำกัด ได้ทำการเปิดตัว Toyota Alphard และ Vellfire โฉมใหม่ ภายใต้แนวคิด GRANDELUXE สะท้อนให้เห็นถึงที่สุดของความหรูหราอย่างมีคุณภาพ พร้อมปรับขุมพลังเครื่องยนต์ไฮบริด 2.5 ใหม่ ทั้งยังเป็นรถที่ประกอบในประเทศ ราคา 3.399-4.649 ล้านบาท...!!




     Toyota Alphard รุ่น 3.5 และ Alphard Hybrid 2.5 โดดเด่นด้วยภายนอกอันหรูหราด้วยกระจังหน้าโครเมียมขนาดใหญ่ ไฟหน้าพร้อม Daytime Running Lights ไฟตัดหมอกด้านหน้าแบบ LED สเกิร์ตรอบคัน ไฟท้าย LED และกระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวแบบ LED และมูนรูฟคู่ ส่วนภายในเบาะนั่งผู้ขับปรับได้ 8 ทิศทาง พร้อมระบบบันทึกตำแหน่งผู้ขับขี่ เบาะนั่งผู้โดยสารด้านหลังแถวที่ 1 ปรับไฟฟ้า แบบ Executive Lounge พร้อมที่รองขา และแถวที่ 2 เบาะปรับ/พับได้ 

     ระบบความบันเทิงจะติดตั้งเครื่องเล่น DVD CD และ MP3 พร้อมช่องต่อ USB iPod AUX รองรับการเชื่อมต่อบลูธูทแบบจอสัมผัสขนาด 8 นิ้วในด้านหน้า พร้อมลำโพงJBL 17 จุดรอบคัน และจอสำหรับผู้โดยสารด้านหลังขนาด 9 นิ้ว พร้อมเครื่องเล่น Blu-Ray (เฉพาะรุ่น 3.5), ระบบฟอกอากาศแบบ nanoe ให้อากาศภายในห้องโดยสารบริสุทธิ์ ไร้กลิ่น และเชื้อโรค พร้อมปรับแยกอุณหภูมิแบบอัตโนมัติ 3 โซน แยกอิสระ ซ้าย-ขวา สำหรับด้านหน้าและด้านหลัง, ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารแบบซ่อนฝ้า ปรับความสว่างได้ 4 ระดับ เปลี่ยนสีได้ 16 เฉดสี พร้อมไฟอ่านหนังสือส่วนตัว (เฉพาะรุ่น 3.5), จอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้วและระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control เพิ่มความสะดวกสบายด้วย แผงควบคุมการโทร-รับโทรศัพท์ (เฉพาะ 3.5) และเปิด-ปิด เพลงที่พวงมาลัย, ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ Smart Entry, ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ 2 ภาษา ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พร้อมแอพลิเคชันอัจฉริยะ Smart G-BOOK





    
     ขุมพลังในรุ่น 3.5 จะเป็นเครื่องยนต์ 3.5 ลิตร 24 วาล์ว DOHC Dual VVT-i ให้กำลังสูงสุด 271 แรงม้า ที่ 6,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 340 นิวตันเมตร ที่ 4,700 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด Super ECT แบบ Sequential Shift ส่วนรุ่นไฮบริด 2.5 เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 16 วาล์ว DOHC VVT-i ให้กำลังสูงสุด 150 แรงม้า ที่ 5,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 206 นิวตันเมตร ที่ 4,400 - 4,800 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ ECVT 


     ส่วนเวอร์ชันแต่งอย่าง Vellfire รุ่น 2.5 ภายนอกมาพร้อมไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ LED และกระจังหน้าโครเมียมดีไซน์ใหม่ ภายในห้องโดยสารสีดำรับกับลายไม้ พร้อมเบาะที่นั่งปรับได้หลายรูปแบบ ส่วนอุปกรณ์ความบันเทิงติดตั้งเครื่องเล่น CD DVD MP3 WMA และช่องเชื่อมต่อ USB AUX จอ LED ระบบสัมผัสขนาด 7 นิ้ว รองรับบลูธูท ที่ด้านหน้า และจอ LED ขนาด 10.2 นิ้ว พร้อมลำโพงรอบคัน 8 จุด, ระบบฟอกอากาศแบบ nanoe , ไฟส่องสว่างในห้องโดยสารแบบซ่อนฝ้าปรับความสว่างได้ 4 ระดับ เปลี่ยนสีได้ 16 เฉดสี, จอแสดงข้อมูลการขับขี่ MID แบบ TFT ขนาด 4.2 นิ้วและระบบความคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control, ระบบเปิดประตูอัจฉริยะ Smart Entry, ระบบนำทางเนวิเกเตอร์ สามารถรองรับได้ทั้ง 2 ภาษา ภาษาไทยและภาษาอังกฤษ พร้อมรองรับระบบ Smart G-BOOK และกล้องมองหลัง
    
     เครื่องยนต์ 2.5 ลิตร 16 วาล์ว Dual VVT-iให้กำลังสูงสุด 180 แรงม้า (134 กิโลวัตต์) ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 235 นิวตัน-เมตร ที่ 4,100 รอบต่อนาที เกียร์อัตโนมัติ CVT 7 สปีด พร้อม Sequential Shift







มาดูระบบความปลอดภัยกันบ้างครับ 
- ติดตั้งถุงลมนิรภัย 9 ตำแหน่ง
- กุญแจอิเล็กทรอนิกส์ Immobilizer
- ระบบควบคุมการทรงตัวอัจฉริยะ (VSC) (เฉพาะ 3.5) และในรุ่นไฮบริด 2.5 เป็นระบบ VDIM
- ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก (ABS)
- ระบบกระจายแรงเบรก (EBD)
- ระบบเสริมแรงเบรก (BA)
- ระบบช่วยออกตัวในทางลาดชัน (HAC)
- ระบบสัญญาณเตือน VPNS (เฉพาะ ไฮบริด 2.5) 
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรี TRC
กล้องมองหลัง

Vellfire มีให้เลือก 3 สี 
Burning Black (ใหม่)
Silver Metallic
White Pearl Crystal 
Alphard มีให้เลือก 3 สี 
Luxury White Pearl (ใหม่)
White Pearl Crystal และ Black 

ราคา Toyota Alphard และ Vellfire
Vellfire รุ่น 2.5 ราคา 3,399,000 บาท 
Alphard รุ่น 2.5 ไฮบริด ราคา 3,549,000 บาท 
Alphard รุ่น 3.5 ราคา 4,649,000 บาท 


***********************************************************************************************************

วันพฤหัสบดีที่ 19 มีนาคม พ.ศ. 2558

GPX Demon 125 ปีศาจน้อยสัญชาติไทย ฟินไปกับความเท่ สู่ห้วงจินตนาการ...!!

     GPX Demon รถมอเตอร์ไซต์ขนาด 125 cc. ปีศาจน้อยสัญชาติไทยที่มีดีไซต์ละม้ายคล้ายคลึงกับรถ Big Bike ขนาดใหญ่ แต่เหมือนถูกย่อลงทั้งขนาดและราคา ซึ่งสามารถจับต้องได้ แต่จะมีอะไรโดดเด่นนั้น เราไปชมกันเลยครับ...!!








     
GPX Demon หล่อเหลาด้วยแม็กซ์ 5 ก้าน สุดเร้าใจให้เอารมณ์สปอร์ต มั่นใจในทุกเทโค้งด้วยยางระดับ high-end จาก IRC โช๊คจาก YSS ให้ทุกการทรงตัวเต็มประสิทธิภาพ พร้อมสำหรับการขับขี่ทุกสภาพพื้นผิวถนน เบาะนั่ง Sport Seat ทรงสปอร์ตให้อารมณ์ดุดัน หนังผ้ามาแบบ 2 Material ลงตัวด้วยลายสปอร์ตของแท้ มาพร้อม COVER SEAT ครอบเบาะท้ายเพิ่มสมดุลความเท่ในตัว Demon สามารถถอดเข้าออกได้เพื่อนั่งซ้อนสอง

     
แฮนด์ FAT BAR อลูมิเนียม เกรด 6061 ซึ่งเป็นเกรดที่แข็ง ทนทาน และไฮไลท์เท่ๆ อย่างเฟรมถักสีแดงพร้อมฝาครอบเฟรม ให้ทุกการเบรกมั่นใจในทุกสถานการณ์  ด้วยดิสเบรกหน้า-หลัง พร้อมลายจานดิสก์จอมโหดมาดเท่ที่มาพร้อมกับเครื่องยนต์ 125 CC คาร์บูเรเตอร์  กระตุ้นประสาทสัมผัสด้วยเรือนไมล์ดิจิตัลทันสมัย ท้าทายเทคโนโลยี แสดงชัดทุกรายละเอียด ขับขี่ปลอดภัยด้วยไฟหน้าแบบฮาโลเจน







Specification
เครื่องยนต์                    125cc 4 จังหวะ
อัตราส่วนการอัด           9 : 0 : 1
ระบายความร้อน            ระบายความร้อนด้วยอากาศ
ไฟหน้า                          H8 12v-35w
ไฟหลัง                          LED
ระบบสตาร์ท                  มอเตอร์สตาร์ท
เบรกหน้า                       ดิสก์เบรกสูบคู่
เบรกหลัง                       ดิสก์เบรกสูบเดี่ยว 
โช๊คหน้า                        UP SIDE DOWN
โช๊คหลัง                        YSS โช๊คเดี่ยว
ยางหน้า                         IRC WING 120/70-12”
ยางหลัง                         IRC WING 120/70-12”
กว้าง x ยาว x สูง           775 x 1,780 x 770 mm.
ความสูงจากพื้นถึงเบาะ  770 mm.
ระหว่างล้อ หน้า-หลัง     1,210 mm.
น้ำหนัก                          105 kg.
ราคา                             53,900 บาท
     พบและสัมผัสกับ GPX Demon สปอร์ต Naked ได้แล้ววันนี้ ที่โชว์รูม GPX สาขาบางนา และสาขาดอนเมืองได้ตั้งแต่ วันที่ 17  มีนาคม 2558 เป็นต้นไป และในงานมอเตอร์โชว์ ครั้งที่ 36 ตั้งแต่วันที่ 25 มีนาคม ถึง 5 เมษายนนี้...!!




***********************************************************************************************************

Toyota Corolla Altis Nurburgring Edition จากสนามระดับโลก สู่ชัยชนะที่เอื้อมถึง...!!

     Toyota เปิดตัว Corolla Altis Nurburgring Edition ต่อยอดความสำเร็จจากการแข่งขันในสนามนูร์เบอร์กริง ด้วยจำนวน 99 รอบสนาม หรือกว่า 2,500 กิโลเมตร ในเวลา 24 ชั่วโมง และคว้าอันดับ 7 ในรุ่น Super Production 3 จากรถทั้งหมด 32 คัน จึงเกิดเป็น Corolla Altis Nurburgring Edition รุ่นพิเศษ...!!



     การดีไซน์ภายนอกมีรูปลักษณ์ที่ดูสปอร์ตโฉบเฉี่ยว ด้วยกระจังหน้า Piano Black พร้อมแถบ Gun Metallic ไฟหน้า LED โปรเจคเตอร์ พร้อม ไฟ LED Day Time Running Lights สเกิร์ตหน้า สเกิร์ตข้าง สเกิร์ตหลัง สปอยเลอร์หลังดีไซน์พิเศษ และท่อไอเสียแบบสปอร์ต ทั้งมีสติกเกอร์ Nurburgring Edition ติดไว้บริเวณด้านข้างตัวรถ ไฟท้าย LED Surface illumination แบบรมดำ ล้ออัลลอย 17 นิ้ว ยางขนาด 215/45 R17
     ส่วนภายในห้องโดยสารนั้น จะเป็นสีดำสไตล์สปอร์ต แผงคอนโซลหน้าแบบ Piano Black พร้อมแถบสีแดงยาวไปถึงแผงประตู แป้นเปลี่ยนเกียร์ Paddle Shift มาตรวัดเรืองแสง 3 วงสปอร์ต พวงมาลัยหุ้มหนังตะเข็บแดงปรับระดับได้ 4 ทิศทาง พร้อมปุ่มควบคุมเครื่องเสียง เครื่องเล่น DVD หน้าจอขนาด 7 นิ้ว พร้อมรองรับระบบนำทางอัจฉริยะ Smart G-BOOK เบาะหนังคู่หน้าแบบ Bucket Seat ปั้มโลโก้ ESPORT พร้อมเดินตะเข็บด้ายแดง


     ขุมพลังจะใช้เครื่องยนต์เบนซิน DOHC Dual VVT-i 4 สูบแถวเรียง 1,800 ซีซี เกียร์อัตโนมัติแบบ Super CVT-i ที่ถูกปรับแต่งใหม่ และช่วงล่างมีการปรับปรุงใหม่ให้สปอร์ตยิ่งขึ้น
Toyota Corolla Altis Nurburgring Edition มีให้เลือก 2 สี  ได้แก่ 
สีขาวมุก White Pearl
สีดำ Attitude Black Mica
พร้อมทั้งยังได้ ไอซ์ ปรีชญา พงษ์ธนานิกรและ ไมค์ พิรัชต์ นิธิไพศาลกุล เป็นพรีเซ็นเตอร์ใหม่อีกด้วย
ราคาจำหน่าย Toyota Corolla Altis Nurburgring Edition ดังนี้
Toyota Corolla Altis ESport Nurburgring Edition สีขาวมุก 959,000 บาท
Toyota Corolla Altis ESport Nurburgring Edition สีดำ  949,000 บาท
     หากสนใจ Toyota Corolla Altis Nurburgring Edition สามารถพบและสัมผัสตัวจริงได้ที่โชว์รูมโตโยต้าทั่วประเทศ หรือที่งาน บางกอก อินเตอร์เนชั่นแนล มอเตอร์โชว์ ตั้งแต่วันที่ 24 มีนาคม – 5 เมษายน 2558 ที่เมืองทองธานี และจะเริ่มจำหน่ายอย่างเป็นทางการในวันที่ 1 เมษายนนี้...!!



************************************************************************************************************

วันพุธที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2558

Isuzu D-Max Diablo รุ่นพิเศษแดนเสือเหลือง สปอร์ตทั้งคัน ดุดันได้ใจ...!!

     ท่ามกลางความร้อนแรงของภาพหลุดรถทั้งหลายแหล่ เรามาชมเจ้า Isuzu D-Max Diablo รุ่นพิเศษ จากมาเลเซียกันดีกว่าครับ ผลิตจำนวนจำกัดเพียง 300 คันเท่านั้น ซึ่งต่อยอดมาจาก D-Max Artic และ D-Max X-Series นั่นเอง ส่วนจะมีอะไรบ้างนั้น เลื่อนลงด้านล่างเลยครับ...!!




     ต้องบอกก่อนว่า D-Max ในประเทศมาเลเซียนั้นถือว่าได้รับความนิยมพอสมควรเลย จนมีรุ่นพิเศษออกมาถึง 2 รุ่น แต่ในรุ่นที่ 2 ซึ่งจะเป็น D-Max X-Series เห็นทีจะไม่เข้าตาชาวเสือเหลืองเท่าใดนัก อีซูซุเลยจัดการเพิ่มรุ่นพิเศษออกมาอีกเป็นรุ่นที่ 3 โดยใช้ชื่อว่า Isuzu D-Max Diablo ซึ่งเรียกความสนใจได้มากทีเดียว

     ภายนอกสิ่งที่จะแตกต่างจากตัวธรรมดา นั่นคือสีตัวถังซึ่งจะใช้สีดำ Cosmic Black Mica เพื่อเน้นความดุดัน กระจังหน้าสีดำ พร้อมการ์ดกันชนด้านหน้า (ซึ่งทำให้แอบนึกถึง D-Max Super Titanium เลยล่ะ) ไฟส่องสว่าง DRL แบบ LED กระจกมองข้างสีดำล้วน ล้ออัลลอยของเลนโซ่ รุ่น Beastly Black ขนาด 17 นิ้ว และมีสติกเกอร์ลายกราฟฟิกแปะไว้ข้างตัวรถบ่งบอกเอกลักษณ์ที่ลงตัว ฝาท้ายจะติดคำว่า “Diablo” เสริมราวหลังคา และสปอร์ตบาร์บริเวณกระบะท้ายทรงโฉบเฉี่ยว




     มาดูภายในห้องโดยสาร จะมีความสปอร์ตมากขึ้นด้วยสคัฟเพลท Isuzu สีแดง เบาะหนังสีแดง Bloody Red สลับกับสีดำน่าเกรงขาม พร้อมสลักชื่อ “Diablo” บริเวณคอนโซลจะตกแต่งด้วยวัสดุสีดำมันเงาแบบเปียโนแบล็ก ระบบความบันเทิงจาก Blaupunkt และกล้องมองหลังเพื่อความปลอดภัยมากขึ้น

     ในส่วนของขุมพลังจะมีทั้งหมด 2 บล็อก เครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ 2.5 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 136 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ 3.0 ลิตร ให้กำลังสูงสุด 177 แรงม้า แรงบิด 320 นิวตันเมตร 

     Isuzu D-Max Diablo รุ่นพิเศษนี้ผลิตขึ้นในจำนวนจำกัดเพียง 300 คันเท่านั้น D-Max Diablo มีค่าตัวที่จำหน่ายในมาเลเซียประมาณ 1.1 ล้านบาท เพิ่มจากรุ่นธรรมดา 60,000 บาท...!!









ที่มา motoroids.com
แนะนำโดย Flame Chaiyapong
************************************************************************************************************