วันพุธที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2558

Nissan NP300 Navara Single Cab เท่ แกร่ง หรู เสริมกล้องมองหลังยกระดับมาตรฐานกระบะไทย!!

     หลังจากที่ Nissan เปิดตัว NP300 Navara ทั้งดับเบิลแค็บ และคิงแค็บ นิสสันยังมีรุ่น Single Cab (ตอนเดียว) ออกมาเพื่อตอบโจทย์ลูกค้าชาวไทยที่มีจุดประสงค์ไว้ขนสินค้าอย่างเต็มรูปแบบตามความต้องการ พร้อมมีการเพิ่มอุปกรณ์ใหม่เพื่อสร้างมาตรฐานใหม่ของรถกระบะตอนเดียว...!!




     NP300 Navara Single Cab มีรูปร่างที่ดูสมบุกสมบันด้วยการออกแบบที่เป็นเอกลักษณ์ ภายนอกแข็งแรง แต่ภายในยังคงให้ความหรูหราฉีกจากรถกระบะที่เคยเป็นมา พร้อมยังมั่นใจในความแกร่ง ทนทาน  ด้วยโครงสร้างเหล็กกล้าไร้รอยต่อ รองรับน้ำหนักบรรทุกได้ในปริมาณมากกว่า

     ภายในห้องโดยสารได้รับการออกแบบให้ดูหรูหรา ใช้งานง่าย สะดวกสบายด้วยพื้นที่ภายในที่กว้างขวาง เบาะนั่งแบ่งแบบ 70:30 ออกแบบให้รองรับท่านั่งที่สบายตามสรีระศาสตร์ ที่งยังมีอุปกรณ์อำนวยความสะดวกต่างๆมากมาย เช่น มาตรวัดที่บอกระยะทางและอัตราสิ้นเปลืองน้ำมัน กระจกไฟฟ้า ช่องต่ออุปกรณ์ USB/AUX CD/MP3 ไว้ขับกล่อมผ่อนคลายเมื่อต้องขับขี่เดินทาง





     เครื่องยนต์ของรุ่น Single Cab มีทั้งเครื่องยนต์ทั้งหมด 2 แบบ ได้แก่
เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ ให้กำลังแรงสุด 163 แรงม้า ที่ 3600 รอบต่อนาที แรงบิด 403 นิวตัน-เมตร 
- เครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 2.5 ลิตร 4 สูบ ระบบหัวฉีดมัลติพอยท์ ให้กำลังแรงสูงสุด 169 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 241 นิวตัน-เมตร ทั้งสองจะมาพร้อมกับระบบเกียร์ธรรมดา 6 สปีด และได้รับการพัฒนาให้ประหยัดน้ำมันเพิ่มมากขึ้น






     และครั้งแรกกับตลาดรถกระบะตอนเดียวรายแรกของไทย ที่มีการติดตั้งกล้องมองหลัง และติดตั้งที่เหยียบขึ้นกระบะด้านข้างแบบฝังในตัวถัง เมื่อยามที่จะต้องขนถ่ายสัมภาระจากด้านท้ายรถ เพื่อเพิ่มความมั่นใจและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้ ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานทุกรุ่น (ยกเว้นรุ่น Chassis Cab ไม่มีกระบะ) 

NP300 Navara Single Cab มีสีทั้งหมด 3 สี ได้แก่ สีขาว ไวท์ โซลิด ,สีเงิน บริลเลียนท์ ซิลเวอร์ และสีเทา ทไวไลท์เกรย์...มี 4 รุ่นย่อยพร้อมราคาจำหน่าย ดังนี้
รุ่น S เบนซิน..........................................456,000 บาท
รุ่น Chassis Cab (
ไม่มีกระบะ) ดีเซล... 498,000 บาท
รุ่น S ดีเซล(กระจกมือหมุน).................. 508,000 บาท
รุ่น SLดีเซล(กระจกไฟฟ้า) ....................516,000 บาท





สามารถติดตามข่าวสารยานยนต์ได้ที่https://www.facebook.com/pages/MZ-Crazy-Cars-Thailand/1410003339233043?ref=hl

อึ้ง!! จะเกิดอะไรขึ้นเมื่อ F-150 ถูกค้อนปอนด์ทุบตัวถังที่ทำมาจากอลูมิเนียม!! (With Video)

     Ford F-150 โมเดลใหม่นี้ นอกจากจะมีการดีไซต์ที่ใหม่หมดรวมถึงอุปกรณ์อำนวยความสะดวกและเครื่องยนต์ที่เป็นเอกลักษณ์แล้ว ตัวถังของรถยังทำจากอะลูมิเนียมเกรดเดียวกับที่ใช้ในรถยนต์ของกองทัพสหรัฐฯ ถึง 70 เปอร์เซ็นต์ ส่วนอีกเกือบๆ 30 เปอร์เซ็นต์ใช้เหล็กความแข็งแกร่งสูง ดังนั้นตัวถังจึงมีความแข็งแกร่ง ทน ยืดหยุ่นได้ดี แถมยังสามารถลดน้ำหนักลงไปได้ถึง 317  กิโลกรัมเมื่อเทียบกับรุ่นก่อน ส่งผลให้ประหยัดน้ำมันได้มากขึ้นกว่าเดิมด้วย


     เมื่อเห็นถึงคุณสมบัติใหม่ดังกล่าวแล้ว edmunds.com เว็บรถยนต์ชื่อดังจึงลงทุนถึงขนาดควักตังค์ 52,000  ดอลล่าร์สหรัฐ เพื่อไปซื้อเจ้า Ford F-150 มาทดสอบโดยเฉพาะ เพียงแค่ต้องการที่จะดูว่าตัวถังที่เป็นอลูมิเนียมที่มีน้ำหนักเบา  ซึ่งเป็นครั้งแรกของรถกระบะ และยังมีราคาแพงขึ้นมากกว่าโฉมที่แล้ว มันจะมีความแตกต่างกับเหล็กทั่วไปอย่างไรและการที่จะซ่อมแซมให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิมจะยากง่ายแค่ไหน นั่นจึงเป็นสิ่งที่พวกเขาอยากรู้

     พวกเขาจะใช้ค้อนขนาดใหญ่หนัก 8 ปอนด์ (ประมาณ 3.6 กิโลกรัม) ตีเข้าไปบริเวณท้ายกระบะถึง 2 ครั้ง เพื่อดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น




     หลังจากนั้นพวกเขาได้ฟาดค้อนเหล็กเข้าไปอย่างเต็มแรง 2 ครั้ง ปรากฏว่าตัวถังมีความยืดหยุ่นที่ดีมากอย่างน่าตกใจ มีรอยค้อนจากการตีและรอยยับทั่วบริเวณกว้างแต่ไม่มากมายอะไร ไฟท้ายมีรอยปริแตกให้เห็นจากแรงสั่นสะเทือนเพียงเล็กน้อยเท่านั้น ต่อมาจึงได้นำรถคันนี้ไปที่ศูนย์บริการเพื่อประเมินความเสียหายที่เกิดขึ้น



     ทางศูนย์บริการบอกว่าอลูมิเนียมจะมีความยืดหยุ่นที่ดีมาก นั่นจึงเป็นเรื่องยากกว่าเหล็กที่จะเคาะมันให้กลับมาอยู่ในสภาพเดิม ทางศูนย์บริการเองก็ได้รับการฝึกฝนในการแก้ไขปัญหาอลูมิเนียมมาอยู่แล้ว แต่มันจำเป็นที่จะต้องใช้เครื่องมือพิเศษและใช้เวลามากกว่าปกติ

     ในสหรัฐฯรถยนต์ที่ตัวถังทำจากอลูมิเนียมนี้มีมานานหลายสิบแล้ว แต่มันใหม่สำหรับรถกระบะ ศูนย์บริการของฟอร์ดเกือบทุกแห่งจะมีเครื่องมือพิเศษที่ว่านี้ รวมไปถึงอู่ข้างนอกก็เช่นกัน แต่ในบางประเทศอาจจะเป็นเรื่องยากหากจะต้องมีการซ่อมแซม



     หัวหน้าช่างของฟอร์ดบอกว่า มันอาจจะใช้เวลาประมาณ 7-10 วัน ในการทำให้ตัวถังกลับมาอยู่ในสภาพเดิม และไฟท้ายที่เสียหายดูแล้วมันอาจจะไม่มากแต่จำเป็นจะต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งโคม เพราะไฟ LED ใช้งานไม่ได้ ส่วนข้างในโคมก็จะมีเซ็นเซอร์อยู่ด้วย


     ภาพนี้จะเห็นความแตกต่างระหว่างเหล็กและอลูมิเนียมซึ่งใช้เวลามากกว่ากันถึงเท่าตัว ราคาการซ่อมรวมเบ็ดเสร็จ 4,138.44 ดอลล่าร์สหรัฐ 
     ตัวถังอลูมิเนียมถือว่าเป็นการเลือกใช้วัสดุที่ดี มันจะมีประโยชน์มากถ้าหากไม่มีการชนหนัก เพราะตัวถังมีความยืดหยุ่นมาก มันจึงช่วยเซฟการเสียหายมากกว่าแบบเหล็กทั่วไป แต่ถ้ามีการชนหนักขึ้นมาก็คงต้องเตรียมถือกระเป๋าตังค์ให้พร้อมซะแล้วล่ะครับ...!!





คลิปการทดสอบ







ที่มา : edmunds.com

สามารถติดตามข่าสารยานยนต์ได้ที่ https://www.facebook.com/pages/MZ-Crazy-Cars-Thailand/1410003339233043

วันอังคารที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2558

เผยแล้ว All-New Toyota Alphard/Vellfire เตรียมประกอบพร้อมจำหน่ายในไทยเร็วๆนี้!!

ในที่สุดรถตู้มินิแวนรุ่นใหญ่ All-New Toyota Alphard ก็ได้เปิดตัวในประเทศญี่ปุ่นไปเป็นที่เรียบร้อย เมื่อวันที่ 26 มกราคมที่ผ่านมา ถือเป็นรถหรูอีกคันที่ชาวไทยให้ความสนใจและจับตามองพอสมควร หลังจากที่มีภาพหลุดออกมา นั่นก็ทำให้หลายคนต่างตั้งหน้าตั้งตารอวันนั้นมาถึง ส่วนรายละเอียดต่างๆจะเป็นอย่างไร ติดตามได้เลยครับ

All-New Toyota Alphard รถตู้มินิแวนรุ่นใหญ่โดยใช้พื้นฐานของ Toyota Camry ที่แต่งเติมผลงานการดีไซต์ของโตโยต้ายุคใหม่เข้าไป โดยจะมีกระจังหน้าขนาดใหญ่(มาก) ลายกระจังทรงสี่เหลี่ยมสีดำเงินเรียงต่อกันอย่างสวยงามลากยาวลงไปถึงช่องรับลมด้านล่าง พร้อมไฟหน้าที่ฝังมาเป็นหลอด LED พร้อมไฟหรี่ LED อย่างลงตัว ส่วนไฟท้ายแบบ Tube จะถูกย้ายไปติดกับกระจกหลังรับกับขอบกระจกพอดี พร้อมเสาอากาศแบบครีบฉลาม

ส่วน All-New Toyota Vellfire หรือเวอร์ชั่นแต่งเต็ม จะมีการเปลี่ยนกระจังหน้าให้เป็นดูสปอร์ตมากยิ่งขึ้นด้วยลายหนา 3 แถบวางเรียงต่อกัน ไฟหน้าสองชั้นแบบ LED ทั้งหมด พร้อมไฟตัดหมอกแบบ LED ทั้งหมดจะถูกครอบคลุมด้วยกรอบโครเมี่ยมไว้อย่างสวยงาม




ภายในสุดหรูด้วยการออกแบบใหม่ และอุปกรณ์อำนวยความสะดวกไม่ว่าจะเป็น จอเครื่องเสียง 9.2 นิ้ว แบบ Multi-Touch แจ้งเตือนอุบัติเหตุบนถนนพร้อมแสดงภาพจากกล้องวงจรปิดตามท้องถนน ระบบปรับอากาศภายนอกอัตโนมัติ พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันพร้อมฮีทเตอร์ไว้สำหรับขับรถเวลาหนาว ระบบแผนที่อัพเดตอัตโนมัติพร้อมลำโพง JBL ที่เยอะจุใจจากรุ่นเดิมถึง 17 ตัว หลังคา Moon Roof คู่ กระจกกรองแสง UV 99% ระบบฟอกอากาศ Nanoe ไฟอ่านแผนที่ทั้งแบบธรรมดาและแบบ LED กุญแจอัจฉริยะพร้อมปุ่มสตาร์ทพร้อมตั้งล็อกรถ ประตูสไลด์ไฟฟ้าโดยเปิดได้เพียงกดปุ่มบนมือเปิดประตู ระบบช่วยถอยจอดอัตโนมัติ ระบบเบรกมือไฟฟ้า และอื่นๆอีกมากมาย ส่วนเบาะนั่งจะมีทั้งแบบ 3 แถว 7 ที่นั่ง และ 3 แถว 8 ที่นั่ง 





เครื่องยนต์มีให้เลือก 3 แบบ โดยจะมีเครื่องยนต์ใหม่ 2 แบบคือ
- เครื่อง 2.5 ลิตร 2AR-FE Dual-VVT-i 182 แรงม้า แรงบิด 235 นิวตัน-เมตร พร้อมเกียร์อัตโนมัติ
Super CVT-i 7 สปีด กินน้ำมันได้ 11.2 กิโลเมตร/ลิตร (เครื่องเดียวกับ Toyota Camry)
- เครื่อง 2.5 ลิตร Hybrid กำลังสูงสุด 197 แรงม้า (เครื่องยนต์แรง 152 แรงม้า แรงบิด 206 นิวตัน-เมตรมอเตอร์ไฟฟ้า 2 ตัว ด้านหน้า 68 แรงม้า แรงบิด 139  นิวตัน-เมตร ด้านหลัง 143 แรงม้า แรงบิด 270  นิวตัน-เมตร) พร้อมเกียร์อัตโนมัติแบบ ECVT  อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 18.4 – 19.4 กิโลเมตร/ลิตร
- เครื่องยนต์ 3.5 ลิตร V6 แรงถึง 280 แรงม้า แรงบิด 344 นิวตัน-เมตร พ่วงด้วยระบบ เกียร์อัตโนมัติแบบ 6 จังหวะ อัตราการบริโภคน้ำมันเชื้อเพลิงประมาณ 9.5 กิโลเมตร/ลิตร

ระบบความปลอดภัย ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง กล้องรอบคันพร้อมกล้องหลังปรับมุมได้ 3 ระดับ เซ็นเซอร์รอบคันพร้อมระบบเตือนในบริเวณด้านข้างตอนถอยรถ ระบบช่วยการทรงตัวและระบบช่วยขึ้นเขา ระบบเตือนรถข้างหน้าเมื่อเบรก ระบบเตือนรถเวลาเข้าเกียร์ผิด ระบบไฟสูงอัตโนมัติ ระบบไฟหน้าตรงมุมข้างรถ กระจกมองหลังปรับลดแสงสะท้อน ไฟตัดหมอกหลัง LED ระบบไฟเบรกฉุกเฉิน กระจกมองหลังตัดแสงอัตโนมัติ
ส่วนกำหนดการเข้าไทย แน่นอนว่าจะได้เห็นในเดือนกุมภาพันธ์นี้ โดยจะมีทั้งเกรย์มาเก็ต และ Toyota Motor Thailand ที่จะมีการจำหน่ายรถยนต์รุ่นนี้ (จะมาก่อนหลังกันไม่มาก) และเป็นที่ยืนยันแล้วว่ารถรุ่นนี้จะประกอบภายในประเทศไทย ซึ่งราคาจะถูกลงเท่าไหร่คงต้องติดตามกันต่อไป
ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้ที่ : https://www.facebook.com/pages/MZ-Crazy-Cars-Thailand/1410003339233043?ref=bookmarks