สวัสดีทุกๆท่านที่กำลังอ่านบทความนี้นะครับ วันนี้ MZ Crazy Cars จะพาท่านไปพบกับสัมผัสแรกของรถยนต์สายพันธ์จากอังกฤษ จิตวิญญาณแห่งความเร็วจากสนามแข่ง สู่ยนตกรรมการขับขี่ที่ไม่เหมือนใคร จะเป็นรถคันไหนไปไม่ได้ นั่นคือ MG6 (เอ็มจี 6) นั่นเองครับ...!!
ก่อนอื่นเรามาดูประวัติของ MG เสียก่อนดีกว่าว่าที่มาที่ไปอย่างไร MG เป็นรถสัญชาติอังกฤษ ก่อตั้งโดยนายวิลเลียม มอร์ริส เมื่อปี ค.ศ.1924 โดยมี นายเซซิล คิมเบอร์ มาร่วมสร้างความสำเร็จในการพัฒนารถยนต์และก็ดำเนินกิจการเรื่อยมา จนมาถึงจุดพลิกผันของแบรนด์ MG ได้ถูกขายให้แก่กลุ่มนายทุน Phoenix ไปบริหารต่อ แต่ด้วยความอ่อนด้อยประสบการณ์ในแวดวงอุตสาหกรรมยานยนต์ทำให้ Phoenix จำเป็นต้องขาย MG อีกครั้ง เอ็มจีถูกขายทอดตลาดให้กับ Nanjing Automobile ในปี 2005 พร้อมตั้งบริษัท NAC MG UK สามารถครอบครองโรงงานลองบริดจ์ สหราชอาณาจักรและสิทธิบัตรต่าง ๆ จนกระทั่งสามารถผลิตรถ MG ออกจากโรงงานในจีนได้สำเร็จในปี 2007 และแล้วโชคชะตาก็พลิกผัน(อีกครั้ง)เมื่อ Nanjing Automobile ก็ถูกบริษัทยักษ์ใหญ่ Shanghai Automotive Industry Corporation (SAIC) ซื้ออีกรอบในปี 2007 จนต้องเปลี่ยนชื่อบริษัทเป็น MG Motor UK ในปี 2009 และพวกเขาก็ต้องรังสรรค์ผลงานให้เป็นที่ประจักษ์ ด้วยการพัฒนา MG6 ซีดานระดับ CD-Segment ทรงสปอร์ตในปี 2011 ที่ถือเป็นรถรุ่นใหม่จากแบรนด์ MG ในรอบ 16 ปี!!
และล่าสุด! กลุ่มเครือเจริญโภคภัณฑ์หรือ “ซีพี” ได้ร่วมลงทุนกับ SAIC จากประเทศจีนบริษัทแม่ของ MG พร้อมก่อตั้งบริษัทSAIC Motor – CP จำกัด ซึ่งซีพีมีหุ้นจำนวนมากถึง 49% ขณะที่ SAIC มี 51 % มีแผนเบื้องต้นที่จะให้ไทยเป็นศูนย์กลางการผลิตรถยนต์ MG สำหรับป้อนตลาดในประเทศและส่งออกต่างประเทศ (เฮ้อ!! รู้สึกว่าแบรนด์นี้เขาจะเปลี่ยนเจ้าของหลายมือมากเหลือเกิน!!)
หลังจากทาง MG ได้เปิดตัว MG6 ไปได้สักระยะ ผมก็ได้มีโอกาสสัมผัสตัวจริง (ในรุ่น Fastback) ครั้งแรกที่เห็นต้องบอกว่า รัศมีของเขานั้นเปล่งออกมาดีจริงๆ แต่เปล่งออกมาในเชิงเป็นรถที่ดูแปลกตา เป็นค่ายรถที่ใหม่มากสำหรับคนไทย (แต่ที่จริง MG ก็เคยมาโลดแล่นบนท้องถนนเมืองไทยในบางช่วง ตอนยุคปลาย 90s สมัยนั้นตัวแทนจำหน่ายในไทยได้นำเข้า MGF มาจำหน่าย และหลังจากนั้นชื่อแบรนด์ MG ก็เงียบหายจากเมืองไทยไปนานแสนนาน) มันจึงได้รับความสนใจอย่างมาก และหลายคนที่เข้าไปดูคงมีคำถามเดียวกันว่า “มันคือรถอะไร???”
สัมผัสแรกที่สายตาผมเพ่งเล็งและจ้องเขม็งไปยังเจ้า MG6 นั้น มีความรู้สึกถึงความสุขุม นุ่มลึก ใหญ่โต และมีเอกลักษณ์ในแบบฉบับของเอ็มจีเอง ด้วยการดีไซน์กระจังหน้าแนวยาวพร้อมแปะโลโก้ MG ไว้ตรงกลาง ไปหน้าทรงเรียวมนยาวขนาดใหญ่ ที่อัดไฟแบบโปรเจ็คเตอร์ฮาโลเจน พร้อมไฟเลี้ยวไว้ในโคมเดียวกัน ด้านล่างจะเป็นช่องดักลมขนาดใหญ่ และไฟตัดหมอกทรงสี่เหลี่ยมคางหมู ขนาบไว้ทั้งสองข้าง เมื่อขยับตัวมาดูด้านข้างจะพอกับล้ออัลลอยด์ลายดอกไม้ 5 กลีบ ขนาด 17 นิ้ว ที่ให้ความรู้สึกพลิ้วไหวในยามขับขี่ และพอกระดกลูกตาขึ้นไปอีกนิดก็จะเห็นช่องระบายอากาศหลอกติดไว้ให้ทั้งซ้ายและขวาของตัวรถ กระจกมองข้ามพร้อมไฟเลี้ยวในตัว เส้นสายด้านข้างตัวรถลากยาวจากหน้ารถไปจนจรดท้าย เป็นเส้นสายที่ลากพอให้ได้อารมณ์ แต่ถ้ากรีดให้สวยและพลิ้วกว่านี้ ตัวรถจะดูเฟี้ยวขึ้นเยอะเลยล่ะ...
ส่วนบั้นท้ายจะเห็นไฟท้าย Matrix LED ดีไซน์เรียวแต่มน โดยไฟเบรกจะใช้เป็นหลอดแอลอีดี ถัดลงมาหน่อยจะเห็นโลโก้BRIT DYNAMIC บ่งบอกถึงจิตวิญญาณนักขับผสานกับนักวิศวกรรมสนามแข่งจากอังกฤษขนานแท้ ด้านล่างจะฝั่งแผงทับทิมสะท้านแสงไว้ทั้งสองข้าง ทั้งนี้ยังได้ติดตั้งไฟตัดหมอกหลังไว้ด้านล่างตรงกึ่งกลางอีกด้วย ซึ่งเป็นตำแหน่งที่ดูสปอร์ตมาก และปิดท้ายด้วยปลายท่อไอเสียชุบโครเมี่ยมไว้ให้เรียบร้อย
โดยรวมการดีไซน์ของเจ้า MG6 ถือว่าเป็นการดีไซน์ที่ให้ความลงตัว และดูสวย ทันสมัยในแบบของเอ็มจีเอง แต่สำหรับผมยังมองว่ามันน่าจะดูสวย และสปอร์ตได้มากกว่านี้ ด้วยรูปลักษณ์ที่เน้นให้ดูสปอร์ต แต่ถึงยังไงเอ็มจี 6 ก็ออกแบบมาได้ดีไม่ขี้เหร่เลย อยู่ในเกณฑ์ที่รับได้ในรถสไตล์ยุโรป
ในด้านของงานการประกอบนั้นถือว่าโอเคเลยครับ ผมลองเอามือไปกดๆที่บานประตูดู ให้ความรู้สึกที่หนา และแน่น แทบไม่ยุบให้เห็นเลย ส่วนอื่นๆก็ถือว่าประกอบได้เรียบร้อยดี ก็ตามมาตรฐานรถยุโรปนั่นแหละครับ
เอาล่ะเรามาดูภายในกันดีกว่า สัมผัสแรกตอนที่เปิดประตูทั้งหน้าและหลัง บอกเลยว่ามันเปิดออกได้กว้างพอสมควร จึงสามารถที่จะเข้าออกได้อย่างสะดวก พอนำเรือนร่างขึ้นนั่งบนเบาะหนังสีดำและจัดท่านั่งให้เหมาะสม (ผมสูง 178 ซม.) มือทั้งสองจับพวงมาลัยและสาดสายตาไปบนแผงคอนโซล คำแรกที่เอ่ยออกมา “ไม่เลวแหะ!!” มาตรวัดรอบและความเร็วถูกจัดไว้ในวงกลมซ้าย-ขวา พร้อมจอแสดงผลอยู่ตรงกึ่งกลาง ส่วนมาตรวัดอุณหภูมิจะถูจัดไว้ในฝั่งซ้ายสุด ส่วนฝั่งขวาสุดจะเป็นมาตรวัดปริมาณน้ำมันเชื้อเพลิง และได้ตีที่บังแดดจากบริเวณเกจ์วัดลากยาวไปถึงกลางคอนโซล ซึ่งจะมีจอแสดงผลขนาดใหญ่ไว้ให้ด้วย และหลายคนที่เห็นที่เสียบกุญแจก็คงจะงงกันไปตามๆกัน เพราะมันเป็นที่เสียบกุญแจแบบ Push Start ที่จะอยู่ฝั่งซ้ายของพวงมาลัย ซึ่งก่อนจะสตาร์ท ต้องเสียบกุญแจเข้าไปในช่อง จากนั้นจึงกุญปุ่มสตาร์ทบนตัวกุญแจ ซึ่งจะต่างจากรถคันอื่นๆ ที่เราคุ้นเคยกัน อุปกรณ์ต่างๆ สามารถแตะได้ถนัดมือ ไม่ต้องเอื้อมไกล แต่การวางตำแหน่งของอุปกรณ์ นั้นดูจะสวนทางกันไปหมด (ขนาดเซลล์จะไปเปิดฝากระโปรงหน้ายังเปิดผิดเลยครับ เพราะมันถูกย้ายไปฝั่งด้านซ้าย) ก็แหงสิ!! นี่มันรถยุโรปนะเฟ้ย...!! แต่ถ้าใช้เวลาสักพักก็จะคุ้นชินและใช้งานได้ง่ายครับ
ส่วนเบาะนั่งหุ้มหนังนั้น ก็ให้ความรู้สึกนุ่มและนั่งสบายดีทีเดียวครับ พนักพิงศีรษะไม่ดันหัว และทั้งหมดก็อยู่ในตำแหน่งที่รองรับกับสรีระพอสมควร พอย้ายมานั่งตรงเบาะหลังก็ให้ความรู้สึกที่นุ่มสบายในระดับหนึ่ง เบาะรองนั่งถึงไม่ได้ยาวมาก แต่ก็อยู่ในเกณฑ์ที่พอดี พนักพิงหลังเอนกำลังพอเหมาะ พื้นที่วางขาระยะห่างจากเบาะหน้ามีมากพอควร ส่วนพื้นที่เหนือศีรษะนั้น ปลายเส้นผมแตะเพดานพอดี โดยรวมถือว่าพื้นที่โดยสารทั้งหน้าและหลังนั่งได้สบาย ไม่อึดอัด...!!
ตัวถังฟาสแบ็คนั้น ทำให้ตัวรถดูมีความเป็นสปอร์ตมากขึ้น จนแทบแยกไม่ออกว่าอันไหนมันซีดานอันไหนมันฟาสแบ็ค ส่วนพื้นที่ด้านท้ายในรุ่นฟาสแบ็คก็ถือว่ามีมากพอสมควร แต่อาจจะขนของขึ้นลงลำบากหน่อย เพราะถึงฝาท้ายจะเปิดได้มากถึง 58 องศา แต่ระยะจากช่องฝาท้ายก็ห่าง(สูง)จากพื้นพอสมควรเลยล่ะ
ด้านเครื่องยนต์ของ MG 6 จะมีด้วยกัน 2 รุ่น ได้แก่ รุ่นเครื่องยนต์ 1,796 ซีซี กำลัง 134 แรงม้า แรงบิด 170 นิวตันเมตร และเครื่องยนต์ 1,796 ซีซี เทอร์โบ กำลัง 161 แรงม้า แรงบิด 215 นิวตันเมตร ทั้งคู่ทำงานร่วมกับเกียร์อัตโนมัติแบบดูอัลคลัทช์ 6 สปีด ระบบเบรกเป็นดิสก์เบรกทั้งหมด 4 ล้อ ช่วงล่างด้านหน้าเป็นแมคฟอร์สันสตรัท ด้านหลังเป็นมัลติลิงก์
อีกจุดหนึ่งที่สำคัญมาก ไม่พูดไม่ได้ นั่นคือโครงสร้าง ความแข็งแรง และความปลอดภัยของตัวรถ เรามาดูซิว่า MG6 จะเจ๋งแค่ไหน
การปกป้องผู้ใหญ่ ได้คะแนนไป 73 %
การปกป้องเด็ก ได้คะแนนไป 71 %
การปกป้องคนเดินเท้า ได้คะแนนไป 42 %
ระบบเซฟตี้ช่วยเหลือภายในรถ ได้คะแนนไป 71 %
(คะแนนทั้งหมดนี้จะใช้ได้เฉพาะรุ่นท็อปสุด)
และนี่คือบทความสัมผัสแรกของ MG6 ซึ่งอาจจะยังบอกอะไรไม่ได้มาก แต่ก็พอจะจับความรู้สึกได้คราวๆ และนำมาบอกต่อกัน ต้องขอบอกและย้ำว่า MG6 คันนี้มันไม่ใช่รถจีนอย่างที่หลายๆคนคิด แต่มันเป็นรถที่กำเนิด คิด วิเคราะห์ ออกแบบ และสร้างภายใต้มาตรฐานยุโรปขนานแท้!! ดังนั้นคุณภาพและมาตรฐานจึงไม่ต้องห่วง แต่สิ่งที่น่าห่วงนั้นคือ
1. เรื่องของราคาที่ปั่นออกมา เอาซะอาแปะสำลักยาจีนกันเลยล่ะ เพราะตั้งราคาไว้สูงเกินไป เมื่อตนเองอยู่ในฐานะน้องใหม่ แถมเทคโนโลยีที่มีมาให้ บางตัวก็ไม่ได้มีความทันสมัยไปกว่าค่ายอื่นๆ เลย (อันนี้ขอให้ไปคิดใหม่นะครับ)
2. เรื่องของศูนย์บริการซึ่งยังน้อยมากๆ ถึงแม้จะกำลังดำเนินการ แต่คู่แข่งทั้ง อัลติส ซีวิค มาสด้า 3 ก็คงได้ยิ้มหวานกันต่อไป และยิ่งฮุนได มาเปิดตัว เอลันตร้ามาในราคาที่โคตรจะเป็นมิตร แถมดีไซน์ก็ชักจะสวยซะด้วยสิ เลยยิ่งทำให้ MG ต้องกลับไปตั้งหลักใหม่เสียแล้ว...!!
สรุป...MG6 ไม่ใช่รถขี้ๆ แต่ด้วยอะไรหลายๆ สิ่งอย่างมารวมกัน เลยทำให้เป็นอุปสรรคอีกก้อนที่จะต้องฝ่าไปให้ได้ แต่ถึงกระนั้น ถ้าหากว่าท่านชอบในสไตล์รถยุโรป ซึ่งจะว่าไปแล้ว ถ้ามองจากรถยุโรปด้วยกัน MG6 ก็ถือว่าเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจไม่น้อย หากท่านได้ลองขับด้วยตนเอง อาจจะติดใจก็เป็นได้ เพราะคุณ...เป็นคนตัดสินใจ...!!
(ตัวแทนจำหน่ายรถ MG สาขาอุบลราชธานี ทางไปอำนาจเจริญ)
*************************************************************************************************
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น