วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ผ่านฉลุย! Suzuki เตรียมสาวหมัดด้วย Hayabusa 1400 "Superchager"


       เจ้าแห่งความเร็วในยุคนี้คงไม่มีใครไม่รู้จัก Kawasaki H2R ที่ออกมาสร้างความน่าตื่นเต้นให้กับผู้ที่ชอบความเร็ว แต่ถ้าย้อนกลับไปพูดถึงรถที่เร็วที่สุดในโลกแห่งยุคในอดีตคงต้องนึกถึงเจ้าพญาเหยี่ยวอย่าง Hayabusa!!



Suzuki GSX 1300R หรือ Hayabusa ถือว่าเป็นรถในฝันของใครหลายๆ คนที่ชื่นชอบความมันส์ในการขับขี่รถอย่างบ้าคลั่ง ตลอดหลายปีที่ผ่านมา Hayabusa ยังคงมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง จนคู่แข่งอย่างค่ายเขียวต้องงัดทีเด็ดด้วยการเผย H2R ออกมาต่อกร แล้วอย่างนี้พี่ซูฯจะอยู่เฉยได้อย่างไรล่ะ

ล่าสุดนิตยสารชื่อดังในญี่ปุ่นได้โชว์ภาพ GSX Concept บนปกหนังสือของตน พร้อมรายละเอียดของ Hayabusa ที่จะมาพร้อมเครื่องยนต์ 1,400 ซีซี Superchager สอดคล้องกับก่อนหน้านี้ที่มีภาพ 3 เครื่องยนต์ใหม่ในตระกูล GSX หลุดออกมาขณะแนะนำภายในบริษัท และยังได้รับการยืนยันแล้วว่าโครงการ Hayabusa Superchager นี้ผ่านฉลุยพร้อมทำการผลิตและเปิดตัวภายในปีหน้าแน่นอน



Hayabusa หรือ GSX-R1400 ในนามใหม่นี้จะติดตั้งระบบอัดอากาศแบบ Superchager เข้าไป พร้อมไฟท์กับ H2R โดยตรงจากเครื่องยนต์ที่มี Superchager เช่นเดียวกัน เป็นเรื่องที่น่าติดตามกับรถที่แข่งกันในเรื่องของแรงม้าและความเร็วว่าใครจะแน่กว่ากัน ซึ่งรถประเภทนี้สร้างขึ้นไม่ได้หวังยอดขายเท่าใดนัก แต่ถือว่าเป็นหน้าเป็นตาให้กับค่ายว่า "ข้าเจ๋งกว่าว่ะ"

       Suzuki Hayabusa Superchager จะได้รับการผลิตเพื่อออกวิ่งทดสอบตัวถังและเครื่องยนต์เร็วๆ นี้ พร้อมเปิดตัวในช่วงประมาณกลางปี 2016

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************
ที่มา paultan.org

วันจันทร์ที่ 28 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หลุดทั้งคัน! ภาพรถสปอร์ตใหม่ล่าสุดพิกัด 250 ซีซี ของ Suzuki..!!

       จากข่าวที่ออกมาก่อนหน้านี้ว่า Suzuki เองจะเตรียมเปิดตัวรถในพิกัด 250-300 ซีซี ใหม่เพื่อออกมาต่อกรกับคู่แข่ง ล่าสุดได้มีภาพแอบถ่ายจะโรงงานที่ใดสักแห่ง ซึ่งคาดว่าน่าจะอยู่ในประเทศจีน มีภาพออกมาทั้งหมดสามภาพ แต่เห็นรายละเอียดต่างๆ ได้ชัดเจน..!!


ภาพหลุดชุดนี้ถือว่าเป็นชุดแรกหลังจากที่มีข่าวความเคลื่อนไหวของซูซูกิ โดยคาดว่าจะเป็นแบบ Global Model คือใช้ร่วมกันทั่วโลก เรามาดูดีไซต์ของรถกันดีกว่าครับ ทรวดทรงองเอวที่มองจากมุมด้านข้างถือว่ามีสัดส่วนที่ใช้ได้เลยครับ ดูดีกว่ารุ่นน้อง Gixxer 150 แฟริ่งด้านข้างนั้นมาสไตล์โฉบเฉี่ยว พร้อมโลโก้ตัว "S" ถังน้ำมันปาดให้เว้ารับการคีบหนีบ เบาะนั่งแบบแยก 2 ตอน ท้ายรถโด่งเด่นเป็นสง่า

โช็คอัพหน้าแบบเทเลสโคปิกพร้อมดิสก์เบรคเดี่ยวขนาด 280-300 มม. ด้านหลังจะเห็นสวิงอาร์มหน้าตาบ้านๆ พร้อมโช็คอัพเดี่ยว ดิสก์หลังขนาด 220 มม. พร้อมระบบเบรค ABS คาดว่าขนาดยางหน้าจะอยู่ที่ไซส์ 110 ส่วนด้านหลังขนาด 140 


ไฟหน้าขนาดใหญ่ DNA จะพี่น้องร่วมค่าย มาตรวัดแบบดิจิตอลขนาดใหญ่ทรงสี่เหลี่ยม ความรู้สึกดูดีมาก และเหมือนเอาจอสมาร์ทโฟนยัดใส่อย่างไรอย่างนั้นเลย แฮนด์เป็นแบบจับโช็คตามสไตล์ของรถประเภทนี้

ในเรื่องของขุมพลังจะเป็นขนาด 250 ซีซี (ตอนนี้ยังไม่แน่ใจว่าอาจจะมีเครื่องยนต์ 300 ซีซีหรือไม่) กำลังสูงสุดจะประมาณ 25-28 แรงม้า ส่วนแรงบิดประมาณ 23-25 นิวตันเมตร พร้อมเกียร์ 6 สปีด ทำอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงอยู่ราวๆ 25-30 กิโลเมตรต่อลิตร และจะเป็นเครื่องยนต์ที่มีขนาดเบาที่สุดในระดับเดียวกัน

       ถึงแม้ตอนนี้ยังไม่มีรายละเอียดที่ชัดเจนมากนัก แต่จากที่ดูรูปลักษณ์โดยรวมบอกเลยว่าสู้คู่แข่งได้อย่างสบายๆ ต้องคอยดูว่ารุ่นนี้จะออกมาในนาม Gixxer 250 ที่จะแข่งกับ Ninja 300, CBR300R, YZF-R3 หรือจะเป็นรถในระดับ Entry Class อย่าง GSX-R250 ที่จะออกมาแข่งกับ CBR250RR และค่ายอื่นๆ ที่จะตามออกมาในอนาคต เชื่อว่าอีกไม่นานคงมีความชัดเจนมากกว่านี้

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************
ที่มา gaadiwaadi.com

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

First Challenge : MG 5 ซีดานตัวใหญ่ ผู้นำออพชั่นด้านความปลอดภัย..!!


       ใครที่ติดตามข่าวสารยานยนต์คงทราบกันดีว่าปี 2559 จะเป็นปีแรกที่จะมีการปรับใช้อัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ซึ่งจะคิดตามอัตราการปล่อยค่าไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) แทนการคิดตามความจุกระบอกสูบแบบเดิม ดังนั้นในงาน Motor Expo “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32" ที่ผ่านมาจึงมีบรรดาค่ายรถเปิดตัวรถใหม่กันเป็นว่าเล่น..!!


เพราะเนื่องจากรถยนต์ส่วนใหญ่จะมีราคาที่เพิ่มขึ้นจากภาษีใหม่ ค่ายรถจึงต้องรีบเปิดตัวเพื่อหวังโกยยอดขายช่วงท้ายปีให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ปีหน้าจะเพิ่มราคาและกำลังการซื้อของผู้บริโภคอาจลดลง หนึ่งในรถยนต์ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาและเป็นรถที่เราจะนำมาคุยกันในครั้งนี้ก็คือ New MG 5 นั่นเองครับ

MG 5 ถือเป็นรถยนต์เอ็มจีรุ่นที่ 3 ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย หลังจากที่เปิดตัวรถรุ่นแรก MG 6 ไปแล้ว ก็ตามด้วยน้องเล็ก MG 3 ซึ่งสร้างความฮือฮาอย่างมากจากการจัดสเปคและจัด Options มาดี แถมตั้งราคามาได้สวย เอ็มจีสามจึงเป็นรถที่เรียกได้ว่าขายดีที่สุดของ MG ณ ขณะนี้ ซึ่งเป็นบทเรียนอันล้ำค่าจากการเปิดตัวรุ่นพี่เอ็มจีหกที่ตั้งราคาไว้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับข้าวของที่ให้มาและในฐานะแบรนด์ใหม่ในไทย

MG 5 เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าเขาได้สร้างความน่าสนใจได้ไม่น้อย สิ่งแรกที่เราจะมาคุยกันคือเรื่องของขนาดตัวรถกันก่อนครับ โดยเอ็มจี 5 จะถูกวางให้อยู่ในกลุ่ม B-Segment แต่ถ้าใครเห็นตัวจริงแล้วคงจะรู้เลยว่ารถคันนี้มีขนาดตัวใหญ่กว่ารุ่นอื่นในคลาสเดียวกัน ซึ่ง MG 5 จะมีความยาวจากหัวจรดท้ายอยู่ที่ 4,612 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,804 มิลลิเมตร ความสูง 1,488 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อที่ 2,650 มิลลิเมตร 

(คลิกดูภาพเพื่อขยาย)

จะเห็นได้ว่ามี MG 5 มีขนาดที่ใหญ่กว่ารถ B-Segment ทั่วไป และมันยังข้ามกลุ่มไป C-Segment ได้สบายๆ เมื่อเอ็มจีเล่นแผนนี้ข้อดีคือได้เปรียบเรื่องรูปร่าง เหมือนจับมวยใหญ่มาชกกับมวยเล็กอย่างไรอย่างนั้น การตลาดแบบนี้เอ็มจีก็ทำกับเจ้า MG 6 เช่นกัน ที่ขนาดรถพอๆ กับกลุ่ม D-Segment แต่ลงมาทำตลาดในกลุ่ม C-Segment งานนี้บอกเลยว่า "ผมไม่เล็กนะครับ"

โดย MG 5 จะแบ่งเป็น 2 รุ่นใหญ่ 4 รุ่นย่อย ดังนี้ รุ่นไม่มีเทอร์โบ 1.5 D และ 1.5 X Sunroof ส่วนอีกรุ่นจะมีเทอร์โบ Turbo 1.5 D และ Turbo 1.5 X Sunroof ผมได้มีโอกาศไปร่วมงานเปิดตัวรถ MG 5 ที่เซ็นทรัลพลาซ่าอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา ครั้งแรกที่ได้เห็นต้องบอกว่าดูดีกว่าที่คิดไว้ครับ จากขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่กว่าใครเลยทำให้รถดูภูมิฐานเหมือนกันนะ รูปแบบการดีไซต์ยังคงเป็นดีเอ็นเอเดียวกันกับพี่น้องร่วมค่าย ไฟหน้าทรงเรียวแบบเลนส์โปรเจคเตอร์ฮาโลเจนจะให้มาทุกรุ่น แต่ไฟส่องสว่างตอนกลางวัน DRL จะมีให้เฉพาะรุ่น X Sunroof เท่านั้น ส่วนรุ่น D จะใส่ไฟตัดหมอกแทน ฝากระโปรงหน้าทรง V shape ที่มาบรรจบลงตรงโลโก้ MG กึ่งกลางหน้ารถ ให้อารมณ์ย้อนยุคอยู่เหมือนกัน แต่ก็เป็นอีกเสน่ห์ของรถคันนี้ครับ

เส้นสายด้านข้างมีมุมนูนมุมเว้าพอให้ได้อารมณ์สปอร์ต กระจกมองข้างมีไฟเลี้ยวในตัว กรอบกระจกหน้าต่างจะมีแถบโครเมียมช่วยให้รถดูหรูขึ้นมาพอสมควร และทุกรุ่นจะให้ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ลายห้าก้านสิบแฉกที่รัดด้วยยางขนาด 205/55 R16 ยกเว้นรุ่น 1.5 D ที่จะเป็นล้อกระทะพร้อมฝาครอบ และยาง 195/65 R15 


MG 5 จะมีดีไซต์ในส่วนของหลังคาที่ลาดไปทางด้านหลังค่อนข้างมาก คือมาในทรงคูเป้ซีดาน พยายามจะทำให้รถดูสปอร์ต แต่การที่มันลาดไปแบบนั้นจะส่งผลถึงพื้นที่ภายในห้องโดยสารอย่างไรบ้าง เดี๋ยวเราค่อยว่ากันอีกที และจุดเด่นอีกที่คือไฟท้ายที่เขาจะดีไซต์ให้เชื่อมต่อกันเป็นแถบยาว อาจจะดูแปลกตานะ แต่ก็สวยไปอีกแบบครับ

ออพชั่นภายนอกทุกรุ่นจัดมาให้พอๆ กัน แต่สิ่งที่จะสามารถแยกออกระหว่างรุ่นมีเทอร์โบกับไม่มี คือต้องสังเกตตรงฝากระโปรงท้ายด้านล่างโลโก้ "MG5" จะมีคิ้วโครเมียมติดมาให้ และปลายท่อไอเสียเป็นแบบสปอร์ต ถ้าไม่มี 2 อย่างที่กล่าวมาแสดงว่าคันนั้นเป็นรุ่นที่ไม่มีเทอร์โบครับ เสริมอีกนิดตอนที่ผมกำลังดูรถอยู่นั้น มีคุณน้าในเอ็มจีท่านหนึ่งใช้ฝ่ามือฟาดไปที่ประตูรถอย่างแรงเสียงดัง "ตุ๊บ!!" คือเขากำลังแนะนำลูกค้าในส่วนของแผ่นเหล็กเปลือกนอกที่ใช้ว่ามีความหนาขนาดไหน ผมลองเอามือไปกดๆ เคาะๆ ดูแล้วก็ชัดเจนครับว่ามันหนาจริงๆ แต่ยังบางกว่า MG 3 และ MG 6 อยู่ เพราะสองคันนี้ผมออกแรงกดแทบไม่สะทกสะท้าน แต่กับ MG 5 มีการบุบให้เห็นมากกว่า แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ แล้ว MG 5 หนากว่ากันเยอะครับ (เป็นปกติของรถสไตล์ยุโรป)


ประตูบานหน้าและบานหลังเปิดออกได้กว้างดีครับ คนตัวใหญ่ๆ เข้า-ออกได้สบายในระดับต้นๆ ของกลุ่มเลย เมื่อเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยแล้ว กวาดสายตามองการดีไซต์ก็ดูดีทีเดียวครับ พวงมาลัยหุ้มหนังเฉพาะในในรุ่น X Sunroof และจะมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงมาให้ มองลอดไปจะเห็นชุดมาตรวัดแบ่งเป็นสองวงใหญ่วัดรอบและวัดความเร็วด้านขวา ตรงกลางจะมีจอแสดงข้อมูล ซึ่งการจัดวางตำแหน่งต่างๆ ค่อนข้างง่าย ไม่สับสน แต่สำหรับผมไม่ค่อยชอบตัวเลขที่เอียงไปตามโค้งของวงวัดรอบ/ความเร็วเท่าไหร่ แต่มันก็แล้วแต่คนชอบครับ ที่สำคัญตัวเลขค่อนข้างใหญ่มองเห็นชัดเจนดี ชัดกว่ารุ่นพี่ MG 6 ซะอีก

คอนโซลหน้าทั้งชุดจะเป็นพลาสติกแข็งๆ ทั้งหมด แต่คุณภาพและการประกอบไม่น้อยหน้าใคร (นอกจาก Mazda 2 ที่จัดเต็มทุกกระบวนท่าจริงๆ) ชุดเครื่องเสียงจะถูกรวบรวมไว้ในกรอบกลางคอนโซลทั้งหมด ซึ่งจะมีจอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบนำทาง, บลูธูท, ช่องต่อ AUX/USB ระบบ inkaNet ที่จะสามารถสื่อสารระหว่างผู้ใช้กับรถได้ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เขาจัดมาให้ตั้งแต่ตัวถูกสุดยันรุ่นท็อปเลย ส่วนลำโพงในรุ่น D จะมี 4 ตัว รุ่น 
X Sunroof ได้ 6 ตัว


การจัดวางปุ่มต่างๆ เป็นสัดเป็นส่วนดีครับ ดูไม่รกตา ปุ่มใหญ่กดถนัดมือดี ระบบปรับอากาศแบบธรรมดา ถัดไปด้านล่างจะเห็นปุ่มไฟฉุกเฉินสีแดงเด่นสุดๆ แต่อยู่ต่ำและลึกไปหน่อย เวลาใช้งานจริงอาจจะไม่ทันท่วงทีนัก และสิ่งที่น่าจะถูกใจคือที่เปิดฝากระโปรงหน้าเขาได้ย้ายมาไว้ฝั่งขวาเรียบร้อย ไม่เหมือน MG 3 และ MG 6 ที่จะอยู่ฝั่งซ้าย

มาดูในส่วนของพื้นที่ภายในห้องโดยสารกันบ้างครับ เบาะนั่งด้านหน้านั้นใหญ่และรองรับช่วงต้นขาได้ดีมากครับ คือเบาะรองนั่งยื่นยาวเลยปีกที่กระชับตัวเราออกมา และในรุ่น X Sunroof จะมีที่ดันหลัง และมีลิ้นชักเก็บของใต้เบาะข้างคนขับด้วย แต่สิ่งที่ทำให้ผมแอบหงุดหงิดกับเบาะชุดนี้ก็คือการปรับของเขา ซึ่งการปรับระดับสูง-ต่ำของเบาะจะเป็นแบบมือหมุน อันนี้อาจจะเคยเห็นในรถหลายๆ รุ่น (พอเข้าใจได้) แต่การปรับเอนพนักพิงหลังก็ยังเป็นแบบมือหมุนอีก เอาล่ะสิ! กว่าจะปรับให้ได้ตำแหน่งที่ต้องการ บางเวลาอยากปรับเอนนอนให้ผ่อนคลาย ต้องมานั่งหมุนๆๆ และหมุนกว่าจะเข้าที่ ทั้งมันยังแข็งและฝืดอีกด้วย ถ้าคุณผู้หญิงมาปรับคงมีเซ็งล่ะ หรือไม่เขาก็อาจจะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้ปรับบ่อยๆ หรือเปล่า แต่ผมแนะนำให้ทำเป็นคันโยกเหมือนรุ่นอื่นๆ จะจบแบบสวยงามเลยครับ!! และจากที่เคยกล่าวไปในส่วนของหลังคารถด้านหลังจะลาดแบบรถคูเป้ ไปดูกันว่าพื้นที่ด้านหลังจะเป็นอย่างไร 


ในส่วนของเบาะหลังหนานุ่มนั่งสบายครับ พื้นที่ด้านหลังโล่ง legroom เหลือเฟือ แถมยังเหยียดขาเข้าไปใต้เบาะคนขับได้ประมาณหนึ่ง พื้นที่เหนือศีรษะมีให้พอสมควร สำหรับผมสูง 178 ซม. นั่งแล้วศีรษะจะชนเพดานพอดิบพอดี แต่เป็นการนั่งแบบหลังตรงก้นชิดเบาะ ถ้านั่งแบบผ่อนคลายสบายๆ จะไม่มีปัญหาครับ พนักพิงศีรษะจะเป็นชิ้นเดียวกับตัวเบาะ แบบนี้จะได้ความนุ่มของฟองน้ำที่มีมากกว่า เพราะไม่มีโครงเหล็กที่จะเสริมมากเท่าแบบแยกชิ้น โดยจะให้มาสองฝั่งซ้ายขวา ตรงกลางไม่มีนะครับ อ้อ! เกือบลืมไปว่าเบาะจะสามารถพับได้แบบ 100% เท่านั้นนะครับ พับแยกไม่ได้

จุดเด่นสำคัญของ MG 5 ก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากหลังคาซันรูฟนั่นเองครับ (ค่ายนี้เอาใจคนไทยจัดมาให้ทั้ง 3 รุ่นเลย) แน่นอนว่าจะมีในรุ่น X Sunroof ตามชื่อเลย โดยปุ่มเปิดจะอยู่บริเวณไฟส่องสว่างห้องโดยสารด้านหน้า กดครั้งแรกบานกระจกจะแง้มขึ้นระบายอากาศ กดครั้งที่สองจะเป็นการเปิดซันรูฟแบบ One touch แต่ตอนปิดต้องกดค้างอย่างเดียวครับ


ขยับไปดูพื้นที่ท้ายรถกันบ้าง การเปิดฝากระโปรงท้ายก็ไม่ต้องไปคลำหายาก ดันตรงฐานกล้องมองหลังได้เลยครับ พื้นที่นั้นต้องบอกว่าโคตรจะกว้างครับตัวยาวขนาดนี้ โดยใต้แผ่นรองจะซ่อนเครื่องมือและล้อยางอะไหล่ไว้ ซึ่งจะเป็นล้อกระทะ และจะมีจุดที่สามารถเปิดฝาท้ายจากด้านในได้ ในกรณีที่อาจมีเด็กๆ เล่นซนไปขังตัวเองไว้ในที่เก็บของท้ายรถ เขาก็จะมีช่องให้เกี่ยวเอาสายออกมาแล้วดึง เพียงเท่านี้ฝาท้ายก็จะเปิดออกได้ครับ ตอนเก็บก็ยัดๆ สายเข้าไปไว้ที่เดิม ถือว่าเป็นการเซฟตี้อีกอย่างหนึ่ง

ขุมพลังจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH ให้กำลัง 106 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อมโหมด Sport และ Manual


และเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร เทอร์โบ 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH ให้กำลังสูงสุด 129 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000-4,400 รอบต่อนาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมโหมด Sport และ Manual 
ซึ่งทั้ง 2 เครื่องจะอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 15.9 กิโลเมตรต่อลิตร (อ้างอิงจาก ECO Sticker) และสามารถรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ได้ครับ

ระบบความปลอดภัยเป็นสิ่งที่คนไทยส่วนหนึ่งเริ่มเห็นความสำคัญกันมากขึ้น โดย MG 5 ก็ได้มีการจัดให้แบบเต็มๆ ไม่มีกั้ก ได้แก่

- โครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF
- ระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อก และระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรก EBA
- ระบบควบคุมการทรงตัว SCS
- ระบบป้องกันการลื่นไถลเมื่อลดเกียร์ต่ำอย่างฉับพลัน MSR
- ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS
- ระบบตรวจสอบความผิดปกติแรงดันลมยาง ITPMS
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
- กล้องมองหลัง
- สัญญาณเตือนกะระยะถอยหลัง

ระบบที่ไล่มาทั้งหมดนี้ MG เขาจัดให้ทุกรุ่นย่อยครับ! คิดดูว่ารถบางรุ่นกว่าจะได้ขนาดนี้ต้องเป็นตัวท็อป ส่วนรุ่นรองก็ได้ระบบลดหลั่นลงมา ถือว่าเป็นจุดขายอีกอย่างก็ว่าได้ และขอชื่นชมจากใจที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ครับ

รู้เรื่องตัวรถ ออพชั่นต่างๆ กันไปแล้ว เรามาดูราคากันครับว่าจะโดนใจหรือไม่ โดยจะมีทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ดังนี้
- รุ่น 1.5 D ราคา 649,000 บาท
- รุ่น 1.5 X Sunroof ราคา 699,000 บาท
- รุ่น 1.5 Turbo D ราคา 719,000 บาท
- รุ่น 1.5 Turbo X Sunroof ราคา 759,000 บาท

แต่ถ้าหากซื้อรถตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2558 จะได้ราคาพิเศษช่วงแนะนำ พร้อมฟรีประกันภัยชั้น 1 ดังนี้
- รุ่น 1.5 D ราคา 629,000 บาท
- รุ่น 1.5 X Sunroof ราคา 679,000 บาท
- รุ่น 1.5 Turbo D ราคา 699,000 บาท
- รุ่น 1.5 Turbo X Sunroof ราคา 739,000 บาท (ถูกลง 20,000 บาททุกรุ่นครับ)


ECO STICKER อัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่

ในวันที่ 1 มกราคมจะเป็นวันแรกที่จะบังคับใช้อัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ซึ่ง MG 5 จัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่งประเภท E85 และรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี

เงื่อนไข
- รถที่ปล่อยค่า Co2 ไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร เดิมจัดเก็บภาษี 25% ภาษีใหม่จัดเก็บ 25%
- รถที่ปล่อยค่า Co2 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร เดิมจัดเก็บภาษี 25% ภาษีใหม่จัดเก็บ 30%
- รถที่ปล่อยค่า Co2 เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร เดิมจัดเก็บภาษี 30% ภาษีใหม่จัดเก็บ 35%

MG 5 ในรุ่นไม่มีเทอร์โบจะปล่อยค่าไอเสียอยู่ที่ 147 กรัมต่อกิโลเมตร
MG 5 ในรุ่นมีเทอร์โบจะปล่อยค่าไอเสียอยู่ที่ 149 กรัมต่อกิโลเมตร
ฉะนั้นจะเข้าเงื่อนไขแรก คือจัดเก็บภาษี 25% เท่าเดิม ราคาจะไม่เพิ่มในปีหน้าครับ

       สุดท้ายขอสรุปสั้นๆ ว่า ใครที่กำลังมองหารถยนต์นั่งสักคันโดยเลือกความคุ้มค่าจากเงินที่จ่ายไป MG 5 คันนี้ตอบโจทย์ได้แน่นอนครับ ตัวรถได้เปรียบเจ้าอื่นเรื่องขนาด วัสดุและการประกอบดีครับ ภายในนั่งสบาย แถมกินขาดกับระบบความปลอดภัยที่ให้มาในชนิดที่ว่า ไม่มีเจ้าไหนใจป้ำเท่านี้อีกแล้ว ฉุกคิดขึ้นเลยว่าทำไม MG ถึงให้ได้ แล้วค่ายอื่นที่ขายรถกันมามากมาย ประสบการณ์เยอะกว่า ทำไมถึงให้ไม่ได้เท่านี้ในรถระดับเดียวกัน MG 5 ถือว่าเป็นรถที่คุ้มค่ามากในเวลานี้ แต่เรื่องของศูนย์บริการก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค คงต้องอาศัยเวลาสักพักเชื่อว่าคนไทยเปิดใจให้มากขึ้นแน่นอน ซึ่งตอนนี้ก็มีตัวแทนจำหน่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากใครสนใจก็ลองไปสัมผัสได้ที่โชว์รูมทั่วประเทศ

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Volkswagen Amarok เตรียมปรับโฉมต่อกรคู่แข่งปลายปี 2016..!!


       ถึงแม้ว่า Volkswagen ณ ตอนนี้กำลังวุ่นหนักหลังจากทำการโคตรโกงค่าไอเสียจนต้องปรับเปลี่ยนโครงสร้างใหม่หลายส่วนและเรื่องก็ยังไม่จบ ซึ่งส่งผลกระทบไปยังรถของตนเองที่มียอดขายลดลงอย่างรวดเร็ว..!!

แต่สำหรับกระบะพันธุ์แกร่งอย่าง Amarok ถือว่าเป็นรถที่ได้รับความนิยมไม่สร่าง บวกกับคู่แข่งในตลาดเช่น Ford Ranger, Toyota Hilux และ Nissan Navara ต่างพากันปรับโฉมและเพิ่มออพชั่นที่เกินหน้าเกินตาไปแล้ว ทำให้ VW ต้องทำการปรับโฉมไมเนอเชนจ์หรือ Facelift ให้กับ Amarok

รายงานต่างประเทศกล่าวว่า Amarok นอกจากจะทำการปรับการดีไซต์ภายนอกแล้วนั้น ภายในก็มีการปรับปรุงเช่นกัน โดยจะใช้วัสดุที่มัคุณภาพมากขึ้น รวมถึงจะเพิ่มระบบอินโฟเทนเมนท์อย่าง Apple Car Play กับ Android Auto เข้าไปด้วย

ขุมพลังยังใช้ตัวเดิม เป็นเครื่องยนต์ดีเซลเทอร์โบ TDI ขนาด 2.0 ลิตร 177 แรงม้า ส่วนระบบความปลอดภัยก็จะจัดมาให้อย่างเต็มเหนี่ยวไม่ให้น้อยหน้าคู่แข่ง โดย Volkswagen Amarok จะมีการเปิดตัวในช่วงปลายปี 2016 ซึ่งรายละเอียดที่มากกว่านี้คาดว่าจะเผยในอีกไม่นานเกินรอแน่นอน..!!

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************
ที่มา carscoops.com

วันพฤหัสบดีที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Kawasaki Ninja250 ใหม่ ว่ากันว่าพกเครื่องในแบบ 4 สูบ!!

       ก่อนหน้านี้มีกระแสข่าวจากแดนปลาดิบว่ากันว่าในปี 2016 จะเป็นปีที่หลายค่ายคิดจะสู้ศึกรถในพิกัด 250 ซีซี ซึ่งต่อมามีความชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ ในส่วนของคู่แข่งที่จะมีทั้ง Honda CBR250RR, Yamaha YZF-R25R, Suzuki GSX-R250 และ Kawasaki Ninja 250



แต่ผู้ที่ชิงเปิดตัวก่อนใครนั่นคือ Honda ที่เผยรถต้นแบบ CBR250RR รหัสลงท้ายด้วย RR แสดงถึงความสปอร์ตจ๋ากว่าตระกูลอาร์ทั่วไป ซึ่งจะเห็นได้จากรูปแบบการดีไซต์ที่ต้องบอกว่าสวยจนลืมการออกแบบของฮอนด้าแบบเดิมไปได้เลย และอีกรุ่นที่มีข่าวออกมาค่อนข้างหลายหูคือ Kawasaki ที่เปรยออกมาว่าจะทำรถ 250 ซีซี ในแบบ 4 สูบ!!



เครื่องยนต์ใหม่ที่มีข่าวว่าคาวาซากิอาจจะทำออกมาในรูปแบบ 4 สูบ และอาจจะเปลี่ยนชื่อจากนินจาเป็น ZX250R ถ้าทำตามนี้จริงมันจะเป็นรถที่สาวกหลายคนถวิลหาและเตรียมควักตังค์จ่ายแน่นอน เพราะคู่แข่งจะใช้เครื่องยนต์แบบ 2 สูบทั้งหมด แต่สื่อจากญี่ปุ่นก็ยังไม่แน่ใจและเดาว่ายังจะใช้เครื่องยนต์แบบ 2 สูบต่อไป

       ถึงแม้ว่าตอนนี้อาจจะเร็วไปหากจะให้สรุปเรื่องราวต่างๆ แต่เชื่อว่าอีกไม่นานจะมีข้อมูลที่ใกล้ความเป็นจริงมากขึ้นแน่นอน ซึ่ง Honda CBR250RR จะทำตลาดในช่วงครึ่งปี 2016 แรก ดังนั้น Kawasaki Ninja 250 น่าจะตามออกมาในระยะเวลาที่ไม่ห่างกันนัก..!!

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************
ที่มา tmcblog.com และ warungasep.net

Jiangxi-Isuzu Ruimai ขออาศัยร่าง D-Max ออกขายตลาดกระบะระดับล่างในจีน..!!

       ถ้ากล่าวถึงรถจีนต้องนึกถึงการก็อปปี้กันอย่างแน่นอน เพราะที่เราเห็นกันมาส่วนหนึ่งมีการลอกงานดีไซต์จากแบรนด์ดัง จนค่ายต้นแบบต้องออกโรงปกป้องสิทธิ์ฟ้องร้องกันมาหลายค่ายแล้ว แต่ก็ดูเหมือนว่าจะไม่เป็นผลนักกับแผ่นดินจีนที่ไม่มีตัวบทกฎหมายรองรับเรื่องนี้เลย..!!


แต่มันก็ไม่เสมอไป เพราะรถบางรุ่นที่เราเห็นว่าลอกการบ้านค่ายดัง ซึ่งจริงๆแล้วมันเป็นเพียงการสร้างความแตกต่างให้ผลิตภัณฑ์ของตัวเองเท่านั้น

เช่นเดียวกับบริษัท Jiangxi-Isuzu (เจียงซี-อีซูซุ) ที่อยู่ภายใต้การดูแลของ JMC ยักษ์ใหญ่ในจีน ได้จับมือกับอีซูซุประเทศญี่ปุ่นร่วมลงทุนเปิดโรงงานผลิตรถปิคอัพและเอสยูวี รวมเป็นจำนวนเงินกว่า 4,402 ล้านหยวน ที่มีกำลังการผลิตหนึ่งแสนคันต่อปี โดยจะมีการผลิตและจัดจำหน่ายรถอีซูซุอย่าง D-Max และ MU-X


แต่นั่นดูเหมือนจะไม่พอเมื่อเทียบกับตลาดใหญ่ในจีนเพราะมีการแข่งขันกันค่อนข้างหลายระดับ ดังนั้น Jiangxi-Isuzu จึงนำเจ้า D-Max มาสร้างความแตกต่างเพื่อความหลากหลายของผลิตภัณฑ์และตอบโจทย์ผู้บริโภคมากขึ้น โดยกระบะสายพันธุ์ใหม่นี้จะมีชื่อว่า Ruimai

มิติของ Jiangxi-Isuzu Ruimai จะมีความยาว 5,190 มม. กว้าง 1,860 มม. สูง 1,785 มม. และระยะฐานล้อ 3,095 มม. (D-Max ยาว 5,200 มม. กว้าง 1,860 มม. สูง 1,795 มม. ฐานล้อ 3.095 มม.) แน่นอนว่ามันยังใช้พื้นฐานจากดีแมกซ์ทั้งคัน แต่จะมีงานออกแบบที่แตกต่างกันไป

มาดูหน้าตาของเจ้า Ruimai กันครับว่ามีอะไรเด่นๆบ้าง เริ่มจากกระจังหน้าที่ได้เปลี่ยนลวดลายใหม่เป็นแถบสีดำและกรอบรูปตัว U สีเงิน ส่วนไฟหน้ายังเป็นทรงเดิมของดีแมกซ์(รุ่นก่อนไมเนอร์เชนจ์) แต่จะมีรายละเอียดที่ต่างกันไป ซึ่งจะไม่มีเลนส์โปรเจ็กเตอร์มาให้ ส่วนกันชนหน้าดีไซต์ใหม่คล้ายของ MU-X แต่ก็ไม่เหมือนซะทีเดียว ดีไซต์นอกนั้นรวมถึงล้อแมกซ์ก็ไม่ต่างอะไรกับต้นฉบับ ยกเว้นไฟท้ายที่ใส่รายละเอียดให้ต่างกัน


ภายนอกอาจจะดูไม่เท่าไหร่ แต่เมื่อเข้ามาชมภายในแล้วแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง เบาะนั่งมีทั้งแบบผ้าและหนังให้เลือก โดยจะใช้โครงเบาะเดิมแต่จะปาดฟองน้ำคนละทรง รวมถึงแผงประตูตรงส่วนที่พักแขนไม่ได้ไต่ขึ้นไปบนคอนโซลหน้าเหมือน D-Max แต่ส่วนที่เหมือนคือช่องแอร์ตรงคอนโซลกลาง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชันพร้อมปุ่มรับ/วางสายโทรศัพท์ หน้าตาชุดเครื่องเสียงแบบใหม่สามารถเล่นได้ทั้งวิทยุ CD MP3 
พร้อมลำโพง 6 ตัว มีจอทัชสกรีนที่ยังเป็นระบบของอีซูซุอยู่ มีบลูธูท และติดตั้งระบบนำทางมาให้

โดยขุมพลังจะใช้เครื่องยนต์อีซูซุดีเซล ความจุ 2.8 ลิตร รหัส 4JB1 (อาจจะคุ้นๆ เพราะเป็นเครื่องรหัสเดียวกันกับอีซูซุดราก้อนอายด์ในอดีตกาล) ซึ่งให้กำลังสูงสุด 109 แรงม้า หรือ 80kw แรงบิด 245 นิวตันเมตร ส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด 

Ruimai แปะโลโก้ JMCG

ส่วนระบบความปลอดภัยก็จะมีทั้งถุงลมนิรภัยคู่หน้า, ระบบเบรค ABS ป้องกันล้อล็อก, EBD กระจายแรงดันน้ำมันเบรค และกล้องมองภาพด้านหลัง

       ในเมื่อ Jiangxi-Isuzu ตั้งใจจะยกให้ D-Max เป็นรถกระบะระดับ High-end แล้ว จึงไม่อยากปล่อยช่องว่างของตลาดกลุ่มล่างที่มีการแข่งขันสูงเช่นกัน Ruimai จึงเป็นผู้ที่เข้าไปเติมเต็มนั่นเอง และอย่างที่กล่าวไปข้างต้นว่าเจียงชี-อีซูซุ อยู่ภายใต้ชายคาของ JMC ดังนั้นจึงจะเห็น Ruimai แปะโลโก้ JMCG ออกขายอีกเช่นกัน..!!

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************
ที่มา jiangxi-isuzu.cn

วันอังคารที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Foday Xiongshi F22 ฉีกกฎการดีไซต์แห่งกระบะเมืองจีน..!!

       ถ้าพูดถึงรถกระบะจีน หลายคนคงนึกถึงสภาพรถกระบะยี่ห้อดังที่ถูกนำมาเปลี่ยนหน้าเปลี่ยนท้ายแล้วแปะโลโก้ไปเท่านั้น หรือไม่ก็เอาหลายๆ รุ่นมารวมไว้ในคันเดียว นั่นคือสิ่งที่เราเห็นมาตลอด..!!



แต่วันนี้จะพาไปดูรถกระบะจากจีนที่มองดูแล้ว เดาแทบไม่ออกว่าเค้าโครงเดิมของรถมันคือรุ่นอะไร แถมยังดูลงตัว ทันสมัย และมีเอกลักษณ์ซะด้วยสิ เพราะเมื่อไม่นานมานี้แบรนด์จีนอย่าง Foday ก็ได้เปิดตัว Xiongshi F22 กระบะรุ่นใหม่ลงสู่ตลาดเมืองจีนเป็นที่เรียบร้อย โดยใช้พื้นฐานมากจาก Foday Lanfu รถเอสยูวีของตน

โดยขนาดตัวรถจะมีความยาว 5,219 มม. กว้าง 1,870 มม. สูง 1,844 มม. และมีระยะฐานล้อ 3,100 มม. ถือว่ามีความใหญ่โตไม่แพ้รถกระบะ 1 ตัน ที่ขายในบ้านเราเลย ซึ่งตัวรถจะมีน้ำหนักทั้งสิ้น 1,920 กิโลกรัม



ดีไซน์ภายนอกสวยงามด้วยไฟหน้าโปรเจ็กเตอร์พร้อมกระจังหน้าขนาดใหญ่ เสริมโครเมียมเพื่อความโดดเด่น ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ยางขนาด 245/70R17 เส้นสายด้านข้างให้ความบึกบึนมากครับ โป่งล้อเป็นชิ้นเดียวกับตัวถัง ส่วนกระบะท้ายจะมีการเซาะร่องตามแนวขอบกระบะด้านบนเป็นตะขอเกี่ยวในยามต้องใช้งานมัดของ พร้อมติดตั้งบาร์กระบะมาให้เสร็จสรรพ และไฟท้ายใหญ่เน้นเหลี่ยมสันให้ดุดัน



ภายในก็เอสยูวีหรูๆ นี่เอง พวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน มีปุ่มรับ/วางสายโทรศัพท์ มีหน้าจอทัชสกรีนขนาดใหญ่มาให้ ระบบปรับอากาศแบบธรรมดา เบาะนั่งหุ้มหนังสีดำสลับส้มชาเย็นและบริเวณแผงประตู โดยรวมอารมณ์จะต่างจากภายนอกที่ดูบึกบึน แต่พอเข้ามาภายในกลับให้ความรู้สึกผ่อนคลาย

เครื่องยนต์จะมีให้เลือก 2 แบบ แบบแรกเป็นเครื่องยนต์เบนซินขนาด 2.4 ลิตร ให้กำลัง 136 แรงม้า ที่ 5,250 รอบต่อนาที แรงบิด 200 นิวตันเมตร ที่ 2,500-3,000 รอบต่อนาที ที่ทำอัตราสิ้นเปลืองประมาณ 9.61 กม./ลิตร และเครื่องยนต์ดีเซล คอมมอนเรล เทอร์โบ ให้กำลังสูงสุดเท่ากันที่ 136 แรงม้า ที่ 4,000 รอบต่อนาที แรงบิด 300 นิวตันเมตร ที่ 1,800-2,800 รอบต่อนาที ทำอัตราสิ้นเปลืองประมาณ 12.82 กม./ลิตร โดยทั้งคู่จะส่งกำลังผ่านเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และมีระบบขับเคลื่อนสองล้อและสี่ล้อให้เลือกทั้ง 2 เครื่องยนต์



       ความจริงอีกอย่างหนึ่งคือ Foday Xiongshi F22 ได้รับแรงบันดาลใจมากจาก Ford Ranger ดังนั้นจึงแสดงภาพลักษณ์ที่ดูแข็งแกร่งแต่ภายในยังให้ความหรูหรา ส่วนราคาเมื่อแปลงเป็นเงินไทยจะเริ่มต้นอยู่ที่ 557,000 บาท ไปจนถึง 725,000 บาท ถือว่าเป็นกระบะจีนที่มีความสวยและลงตัวมากที่สุดอีกคันหนึ่ง..!!

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************
ที่มา global.fodayauto.com

วันจันทร์ที่ 21 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Ford เตรียมยัด Hybrid ใส่ในปิกอัพ F-Series หวังลดมลพิษในอนาคต..!!

       รถกระบะ Ford ตระกูล F-Series 2016 นอกจากจะเด่นในด้านงานดีไซต์และเปลือกตัวถังที่ใช้วัสดุอลูมิเนียมแทนเหล็กแบบเดิมแล้ว ยังมีเครื่องยนต์ Ecoboost ขนาด 2.7 ลิตร ที่ให้ทั้งความแรงและความประหยัดไปพร้อมๆกัน..!!


แต่นั่นดูเหมือนจะไม่พอ เมื่อล่าสุด Mark Fields ซีอีโอของฟอร์ดได้กล่าวว่า พวกเขากำลังมีแผนที่จะยัดระบบ Hybrid ลงในปิกอัพ F-Series เพื่อลดการปล่อยมลพิษและเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม ตามกฎระเบียบใหม่ในยุโรปที่จะเข้มข้นมากขึ้นในปี 2020

ซึ่งโครงการนี้ฟอร์ดจะต้องใช้เงินลงทุนไม่ต่ำกว่า 4,500 ล้านเหรียญสหรัฐ ในการพัฒนาระบบ Hybrid แบบใหม่ที่แตกต่างจากระบบทั่วไปในปัจจุบัน แต่ยังไม่มีข้อมูลว่าจะทำออกมาควบคู่กับเครื่องยนต์ใด และระบบขับเคลื่อนเป็นรูปแบบขับสองหรือขับสี่


Mark Fields ยังบอกอีกว่า "การทำแบบนี้มันเป็นสิ่งที่จำเป็นเมื่อคำนึงถึงปัญหามลพิษระดับโลก" หลังจากที่ข่าวนี้ถูกเผยแพร่ออกไป ก็มีเสียงวิพากษ์วิจารณ์จากแฟนๆ ของฟอร์ดถึงเรื่องนี้ ซึ่งไม่ค่อยจะเห็นด้วยเท่าใดนัก เพราะส่วนมากกังวลว่าสมรรถนะของรถจะด้อยกว่าเดิมจากการเพิ่มระบบไฮบริดดังกล่าว

       ก็ต้องติดตามกันต่อไปว่าปิกอัพ F-Series ในเวอร์ชัน Hybrid ที่ว่าจะทำออกมาได้ถูกใจแฟนๆได้มากน้อยแค่ไหน?

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************
ที่มา autoblog.com

วันพุธที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Spyshot : Ford Ecosport ขณะวิ่งทดสอบในอเมริกา..พร้อมปรับลุคเล็กน้อย..!!

       ปฏิเสธไม่ได้ว่าปัจจุบันกระแสรถอเนกประสงค์ Crossover กำลังมาแรง ไม่เฉพาะในต่างประเทศเท่านั้น ในเมืองไทยก็ได้รับความนิยมไม่แพ้กัน เพาะล่าสุดโมเดลใหม่ที่ถูกเปิดตัวไปนั่นคือ Mazda CX-3 นั่นเอง..!!


แต่วันนี้เราจะมาเสนอรถคู่แข่งที่มีขายในบ้านเราเช่นกันครับ Ford Ecosport รุ่นไมเนอเชนจ์ที่ถูกสิงห์มือไวแอบจับภาพไว้ได้ขณะทำการวิ่งทดสอบในประเทศสหรัฐอเมริกา ตัวรถถูกห่อหุ้มปกปิดส่วนหน้าและส่วนท้าย ซึ่งน่าจะเป็นจุดที่มีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุด

ด้านหน้าเรายังจะพอเห็นทรงไฟหน้าที่ไม่ต่างจากรุ่นเดิม หรืออาจจะมีการเพิ่มรายละเอียดเข้าไป แต่สิ่งที่เห็นชัดว่าเปลี่ยนแปลงไปนั่นคือกระจังหน้าที่ดูเหมือนจะมีทรงที่เล็กและกดต่ำกว่าเดิม อารมณ์น่าจะคล้าย Fiesta ส่วนไฟท้ายก็น่าจะปรับให้ดูดีขึ้น แต่เรายังเห็นล้อยางอะไหล่ที่ยังคงห้อยไว้ตรงฝาท้ายเช่นเดิม



การตกแต่งภายในคาดว่าจะได้รับการปรับปรุงเพียงเล็กน้อย เพื่อที่จะสามารถฟัดกับน้องใหม่อย่าง Mazda CX-3 หรือ Honda HR-V ได้ ทางฟอร์ดยังจะเพิ่มวัสดุระงับเสียง และมีหน้าจอสี 4 นิ้วเป็นตัวเลือกใหม่ 
ส่วนรายละเอียดอื่นๆ ยังไม่มีข้อมูลมากนัก

เครื่องยนต์มีแนวโน้มที่จะใช้ EcoBoost ขนาด 1.0 ลิตร 123 แรงม้า (92 กิโลวัตต์) โดยที่ยังมีเครื่องยนต์เบนซิน ขนาด 1.5 ลิตร กำลัง 110 แรงม้ากับ (82 กิโลวัตต์) และ
เครื่องยนต์ดีเซล ขนาด 1.5 ลิตร ให้กำลัง 93 แรงม้า (70 กิโลวัตต์)

       ในรายงานข่าวยังระบุอีกว่า 
Ford Ecosport โฉมต่อไปที่จะถูกนำเสนอในสหรัฐฯ อาจจะได้เห็นในไม่ช้า เมื่อฟอร์ดทำการเปิดตัว Ecosport Minorchange นี้แล้วไปแล้วอีกไม่กี่ปีข้างหน้า..!!

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************
ที่มา motor1.com

วันอังคารที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2558

Honda เตรียมเดินสายโชว์ BR-V ทั่วประเทศ 34 จังหวัด ก่อนขายจริงต้นปี 59..!!

       หลังจากที่ Honda ได้เปิดตัว BR-V รถอเนกประสงค์ในงานมหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32 (Motor Expo) อย่างไม่เป็นทางการไปแล้วนั้น ต่างมีผู้คนให้ความสนใจมากทีเดียวครับ ซึ่งงานนี้ Honda ลงทุนเตรียมเดินสายโชว์ตัวน้องใหม่ BR-V ทั่วประเทศ ก่อนเปิดตัวและจำหน่ายอย่างเป็นทางการในต้นปี 2559..!!


บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด จัดกิจกรรม BR-V Brave Journey ในรูปแบบคาราวานจัดแสดงรถยนต์ Honda 
BR-V ใหม่ ยนตรกรรมแอคทีฟสปอร์ตครอสโอเวอร์ โดยเดินทางจากกรุงเทพฯ สู่ 34 จังหวัด ทุกภูมิภาคทั่วประเทศไทย เพื่อสร้างความสนใจให้แก่ผู้ที่กำลังมองหารถยนต์อเนกประสงค์ในระดับคอมแพคท์และซับคอมแพคท์ที่พร้อมตอบโจทย์การใช้งานได้ทุกรูปแบบอย่างใกล้ชิด


Honda BR-V สปอร์ตครอสโอเวอร์น้องใหม่ ชูจุดเด่นที่ภายในห้องโดยสารกว้างขวางสะดวกสบาย มาพร้อม 2 ทางเลือกของฟังก์ชั่นการใช้งาน ทั้งรูปแบบเบาะนั่ง 3 แถว 7 ที่นั่ง ที่ปรับได้หลากหลายรูปแบบ และเบาะนั่ง 2 แถว 5 ที่นั่ง ให้พื้นที่เก็บสัมภาระด้านท้ายที่สามารถตอบโจทย์การใช้งานได้ในทุกรูปแบบ 







ทั้งยังสนุกไปด้วยสมรรถนะการขับขี่เต็มประสิทธิภาพ ด้วยขุมพลังเครื่องยนต์ขนาด 1.5 ลิตร i-VTEC 4 สูบ และระบบเกียร์อัตโนมัติ CVT พัฒนาภายใต้เทคโนโลยีเอิร์ธดรีม และยังรองรับพลังงานทางเลือก E85 ติดตั้งฟังก์ชั่นและอุปกรณ์อำนวยความสะดวกอันล้ำสมัย พร้อมให้ความอุ่นใจในทุกการเดินทางด้วยมาตรฐานความปลอดภัยที่เหนือระดับและครบครัน อาทิ ระบบถุงลมคู่หน้า ระบบป้องกันล้อล็อก (ABS) ระบบกระจายแรงเบรก (EBD) ระบบควบคุมการทรงตัว (VSA) และระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน (HSA) เป็นต้น

BR-V Brave Journey ช่วงที่ 1 วันที่ 15-25 ธันวาคม 2558

15 ธันวาคม 2558
- 10.30 น. สิงห์บุรี วิ่งรอบ อ.เมือง
- 13.00 น. ชัยนาท วิ่งรอบ อ.เมือง
- 16.30-19.30 น. นครสวรรค์ ห้างบิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ (สาขา 2)

16 ธันวาคม 2558
- 8.30 น. สุโขทัย ห้างบิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์
- 16.30-19.30 น. ลำปาง ห้างบิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์

17 ธันวาคม 2558
- 9.00 น. ลำพูน วิ่งรอบ อ.เมือง
- 16.30-19.30 น. เชียงราย ห้างบิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์

18 ธันวาคม 2558
- 9.00 น. พะเยา วิ่งรอบ อ.เมือง
- 16.00-19.00 น. น่าน ห้างบิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์

19 ธันวาคม 2558
- 10.30 น. อุตรดิตถ์ วิ่งรอบ อ.เมือง
- 16.00-19.00 น. พิษณุโลก ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส (ถ.พิษณุโลก-หล่มสัก)

20 ธันวาคม 2558
- 16.00-19.00 น. หนองคาย ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส (อัศวรรณ)

21 ธันวาคม 2558
- 10.30 น. สกลนคร วิ่งรอบ อ.เมือง
- 17.15-19.30 น. อุบลราชธานี ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส (ถ.ชยางกูร)

22 ธันวาคม 2558
- 10.00 น. สุรินทร์ วิ่งรอบ อ.เมือง
- 12.00 น. บุรีรัมย์ ทวีกิจซุปเปอร์เซ็นเตอร์
- 17.30-19.30 น. นครราชสีมา ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส (สาขาหัวทะเล)

23 ธันวาคม 2558
- 11.30 น. ปราจีนบุรี วิ่งรอบ อ.เมือง
- 17.30-19.30 น. ระยอง ห้างบิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์

24 ธันวาคม 2558
- 10.30 น. จันทบุรี วิ่งรอบ อ.เมือง
- 15.00 น. ฉะเชิงเทรา วิ่งรอบ อ.เมือง

25 ธันวาคม 2558
- 9.00 น. อ่างทอง วิ่งรอบ อ.เมือง
- 11.00 น. ลพบุรี วิ่งรอบ อ.เมือง
- 15.00-18.00 น. สระบุรี ทวีกิจซุปเปอร์คอมเพล็กซ์



BR-V Brave Journey ช่วงที่ 2 วันที่ 4-10 มกราคม 2559

4 มกราคม 2559
- 16.30-19.30 น. ชุมพร ห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส

5 มกราคม 2559
- 16.30-19.30 น. นครศรีธรรมราชห้างสรรพสินค้าเทสโก้โลตัส

6 มกราคม 2559
- 10.30 น. กระบี่ วิ่งรอบ อ.เมือง
- 16.00-19.00 น. ภูเก็ต ห้างบิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์

7 มกราคม 2559
- 10.30 น. พังงา วิ่งรอบ อ.เมือง
- 16.00-19.00 น. สุราษฎร์ธานี ห้างบิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ (ถนนเลี่ยงเมือง)

8 มกราคม 2559
- 16.00-19.00 น. ประจวบคีรีขันธ์ ตลาดปากน้ำปราณ (อ.ปราณบุรี)

9 มกราคม 2559
- 16.00-19.00 น. กาญจนบุรี ห้างบิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ (ถนนแสงชูโตเหนือ)

10 มกราคม 2559
- 10.30 น. สุพรรณบุรี ห้างบิ๊กซีซุปเปอร์เซ็นเตอร์ (ถนนมาลัยแมน)
- 15.00 น. อยุธยา ห้างสรรพสินค้าโรบินสัน อยุธยาพาร์ค

       กิจกรรม BR-V Brave Journey จะจัดขึ้นใน 2 ช่วง โดยช่วงแรก ขบวนจะเริ่มออกเดินทางตั้งแต่วันนี้ไปจนถึงวันที่ 25 ธันวาคม 2558 และช่วงที่ 2 ตั้งแต่วันที่ 4-10 มกราคม 2559 นอกจากที่ทุกท่านจะได้สัมผัส Honda BR-V แล้ว ยังจะได้ร่วมสนุกกับเกมส์ท้าทายความกล้าอีกมากมาย ผู้ที่สนใจสามารถติดตามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ www.honda.co.th/brv



ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************