วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

First Challenge : MG 5 ซีดานตัวใหญ่ ผู้นำออพชั่นด้านความปลอดภัย..!!


       ใครที่ติดตามข่าวสารยานยนต์คงทราบกันดีว่าปี 2559 จะเป็นปีแรกที่จะมีการปรับใช้อัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ซึ่งจะคิดตามอัตราการปล่อยค่าไอเสียคาร์บอนไดออกไซด์ (Co2) แทนการคิดตามความจุกระบอกสูบแบบเดิม ดังนั้นในงาน Motor Expo “มหกรรมยานยนต์ ครั้งที่ 32" ที่ผ่านมาจึงมีบรรดาค่ายรถเปิดตัวรถใหม่กันเป็นว่าเล่น..!!


เพราะเนื่องจากรถยนต์ส่วนใหญ่จะมีราคาที่เพิ่มขึ้นจากภาษีใหม่ ค่ายรถจึงต้องรีบเปิดตัวเพื่อหวังโกยยอดขายช่วงท้ายปีให้ได้มากที่สุด ก่อนที่ปีหน้าจะเพิ่มราคาและกำลังการซื้อของผู้บริโภคอาจลดลง หนึ่งในรถยนต์ที่เปิดตัวไปเมื่อช่วงเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมาและเป็นรถที่เราจะนำมาคุยกันในครั้งนี้ก็คือ New MG 5 นั่นเองครับ

MG 5 ถือเป็นรถยนต์เอ็มจีรุ่นที่ 3 ที่เข้ามาทำตลาดในเมืองไทย หลังจากที่เปิดตัวรถรุ่นแรก MG 6 ไปแล้ว ก็ตามด้วยน้องเล็ก MG 3 ซึ่งสร้างความฮือฮาอย่างมากจากการจัดสเปคและจัด Options มาดี แถมตั้งราคามาได้สวย เอ็มจีสามจึงเป็นรถที่เรียกได้ว่าขายดีที่สุดของ MG ณ ขณะนี้ ซึ่งเป็นบทเรียนอันล้ำค่าจากการเปิดตัวรุ่นพี่เอ็มจีหกที่ตั้งราคาไว้ค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับข้าวของที่ให้มาและในฐานะแบรนด์ใหม่ในไทย

MG 5 เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 19 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งแน่นอนว่าเขาได้สร้างความน่าสนใจได้ไม่น้อย สิ่งแรกที่เราจะมาคุยกันคือเรื่องของขนาดตัวรถกันก่อนครับ โดยเอ็มจี 5 จะถูกวางให้อยู่ในกลุ่ม B-Segment แต่ถ้าใครเห็นตัวจริงแล้วคงจะรู้เลยว่ารถคันนี้มีขนาดตัวใหญ่กว่ารุ่นอื่นในคลาสเดียวกัน ซึ่ง MG 5 จะมีความยาวจากหัวจรดท้ายอยู่ที่ 4,612 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,804 มิลลิเมตร ความสูง 1,488 มิลลิเมตร และระยะฐานล้อที่ 2,650 มิลลิเมตร 

(คลิกดูภาพเพื่อขยาย)

จะเห็นได้ว่ามี MG 5 มีขนาดที่ใหญ่กว่ารถ B-Segment ทั่วไป และมันยังข้ามกลุ่มไป C-Segment ได้สบายๆ เมื่อเอ็มจีเล่นแผนนี้ข้อดีคือได้เปรียบเรื่องรูปร่าง เหมือนจับมวยใหญ่มาชกกับมวยเล็กอย่างไรอย่างนั้น การตลาดแบบนี้เอ็มจีก็ทำกับเจ้า MG 6 เช่นกัน ที่ขนาดรถพอๆ กับกลุ่ม D-Segment แต่ลงมาทำตลาดในกลุ่ม C-Segment งานนี้บอกเลยว่า "ผมไม่เล็กนะครับ"

โดย MG 5 จะแบ่งเป็น 2 รุ่นใหญ่ 4 รุ่นย่อย ดังนี้ รุ่นไม่มีเทอร์โบ 1.5 D และ 1.5 X Sunroof ส่วนอีกรุ่นจะมีเทอร์โบ Turbo 1.5 D และ Turbo 1.5 X Sunroof ผมได้มีโอกาศไปร่วมงานเปิดตัวรถ MG 5 ที่เซ็นทรัลพลาซ่าอุบลราชธานี เมื่อวันที่ 8 ธันวาคมที่ผ่านมา ครั้งแรกที่ได้เห็นต้องบอกว่าดูดีกว่าที่คิดไว้ครับ จากขนาดตัวที่ค่อนข้างใหญ่กว่าใครเลยทำให้รถดูภูมิฐานเหมือนกันนะ รูปแบบการดีไซต์ยังคงเป็นดีเอ็นเอเดียวกันกับพี่น้องร่วมค่าย ไฟหน้าทรงเรียวแบบเลนส์โปรเจคเตอร์ฮาโลเจนจะให้มาทุกรุ่น แต่ไฟส่องสว่างตอนกลางวัน DRL จะมีให้เฉพาะรุ่น X Sunroof เท่านั้น ส่วนรุ่น D จะใส่ไฟตัดหมอกแทน ฝากระโปรงหน้าทรง V shape ที่มาบรรจบลงตรงโลโก้ MG กึ่งกลางหน้ารถ ให้อารมณ์ย้อนยุคอยู่เหมือนกัน แต่ก็เป็นอีกเสน่ห์ของรถคันนี้ครับ

เส้นสายด้านข้างมีมุมนูนมุมเว้าพอให้ได้อารมณ์สปอร์ต กระจกมองข้างมีไฟเลี้ยวในตัว กรอบกระจกหน้าต่างจะมีแถบโครเมียมช่วยให้รถดูหรูขึ้นมาพอสมควร และทุกรุ่นจะให้ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว ลายห้าก้านสิบแฉกที่รัดด้วยยางขนาด 205/55 R16 ยกเว้นรุ่น 1.5 D ที่จะเป็นล้อกระทะพร้อมฝาครอบ และยาง 195/65 R15 


MG 5 จะมีดีไซต์ในส่วนของหลังคาที่ลาดไปทางด้านหลังค่อนข้างมาก คือมาในทรงคูเป้ซีดาน พยายามจะทำให้รถดูสปอร์ต แต่การที่มันลาดไปแบบนั้นจะส่งผลถึงพื้นที่ภายในห้องโดยสารอย่างไรบ้าง เดี๋ยวเราค่อยว่ากันอีกที และจุดเด่นอีกที่คือไฟท้ายที่เขาจะดีไซต์ให้เชื่อมต่อกันเป็นแถบยาว อาจจะดูแปลกตานะ แต่ก็สวยไปอีกแบบครับ

ออพชั่นภายนอกทุกรุ่นจัดมาให้พอๆ กัน แต่สิ่งที่จะสามารถแยกออกระหว่างรุ่นมีเทอร์โบกับไม่มี คือต้องสังเกตตรงฝากระโปรงท้ายด้านล่างโลโก้ "MG5" จะมีคิ้วโครเมียมติดมาให้ และปลายท่อไอเสียเป็นแบบสปอร์ต ถ้าไม่มี 2 อย่างที่กล่าวมาแสดงว่าคันนั้นเป็นรุ่นที่ไม่มีเทอร์โบครับ เสริมอีกนิดตอนที่ผมกำลังดูรถอยู่นั้น มีคุณน้าในเอ็มจีท่านหนึ่งใช้ฝ่ามือฟาดไปที่ประตูรถอย่างแรงเสียงดัง "ตุ๊บ!!" คือเขากำลังแนะนำลูกค้าในส่วนของแผ่นเหล็กเปลือกนอกที่ใช้ว่ามีความหนาขนาดไหน ผมลองเอามือไปกดๆ เคาะๆ ดูแล้วก็ชัดเจนครับว่ามันหนาจริงๆ แต่ยังบางกว่า MG 3 และ MG 6 อยู่ เพราะสองคันนี้ผมออกแรงกดแทบไม่สะทกสะท้าน แต่กับ MG 5 มีการบุบให้เห็นมากกว่า แต่ถ้าเทียบกับคู่แข่งอื่นๆ แล้ว MG 5 หนากว่ากันเยอะครับ (เป็นปกติของรถสไตล์ยุโรป)


ประตูบานหน้าและบานหลังเปิดออกได้กว้างดีครับ คนตัวใหญ่ๆ เข้า-ออกได้สบายในระดับต้นๆ ของกลุ่มเลย เมื่อเข้าไปนั่งหลังพวงมาลัยแล้ว กวาดสายตามองการดีไซต์ก็ดูดีทีเดียวครับ พวงมาลัยหุ้มหนังเฉพาะในในรุ่น X Sunroof และจะมีปุ่มควบคุมเครื่องเสียงมาให้ มองลอดไปจะเห็นชุดมาตรวัดแบ่งเป็นสองวงใหญ่วัดรอบและวัดความเร็วด้านขวา ตรงกลางจะมีจอแสดงข้อมูล ซึ่งการจัดวางตำแหน่งต่างๆ ค่อนข้างง่าย ไม่สับสน แต่สำหรับผมไม่ค่อยชอบตัวเลขที่เอียงไปตามโค้งของวงวัดรอบ/ความเร็วเท่าไหร่ แต่มันก็แล้วแต่คนชอบครับ ที่สำคัญตัวเลขค่อนข้างใหญ่มองเห็นชัดเจนดี ชัดกว่ารุ่นพี่ MG 6 ซะอีก

คอนโซลหน้าทั้งชุดจะเป็นพลาสติกแข็งๆ ทั้งหมด แต่คุณภาพและการประกอบไม่น้อยหน้าใคร (นอกจาก Mazda 2 ที่จัดเต็มทุกกระบวนท่าจริงๆ) ชุดเครื่องเสียงจะถูกรวบรวมไว้ในกรอบกลางคอนโซลทั้งหมด ซึ่งจะมีจอทัชสกรีนขนาด 7 นิ้ว พร้อมระบบนำทาง, บลูธูท, ช่องต่อ AUX/USB ระบบ inkaNet ที่จะสามารถสื่อสารระหว่างผู้ใช้กับรถได้ ทั้งหมดที่กล่าวมานี้เขาจัดมาให้ตั้งแต่ตัวถูกสุดยันรุ่นท็อปเลย ส่วนลำโพงในรุ่น D จะมี 4 ตัว รุ่น 
X Sunroof ได้ 6 ตัว


การจัดวางปุ่มต่างๆ เป็นสัดเป็นส่วนดีครับ ดูไม่รกตา ปุ่มใหญ่กดถนัดมือดี ระบบปรับอากาศแบบธรรมดา ถัดไปด้านล่างจะเห็นปุ่มไฟฉุกเฉินสีแดงเด่นสุดๆ แต่อยู่ต่ำและลึกไปหน่อย เวลาใช้งานจริงอาจจะไม่ทันท่วงทีนัก และสิ่งที่น่าจะถูกใจคือที่เปิดฝากระโปรงหน้าเขาได้ย้ายมาไว้ฝั่งขวาเรียบร้อย ไม่เหมือน MG 3 และ MG 6 ที่จะอยู่ฝั่งซ้าย

มาดูในส่วนของพื้นที่ภายในห้องโดยสารกันบ้างครับ เบาะนั่งด้านหน้านั้นใหญ่และรองรับช่วงต้นขาได้ดีมากครับ คือเบาะรองนั่งยื่นยาวเลยปีกที่กระชับตัวเราออกมา และในรุ่น X Sunroof จะมีที่ดันหลัง และมีลิ้นชักเก็บของใต้เบาะข้างคนขับด้วย แต่สิ่งที่ทำให้ผมแอบหงุดหงิดกับเบาะชุดนี้ก็คือการปรับของเขา ซึ่งการปรับระดับสูง-ต่ำของเบาะจะเป็นแบบมือหมุน อันนี้อาจจะเคยเห็นในรถหลายๆ รุ่น (พอเข้าใจได้) แต่การปรับเอนพนักพิงหลังก็ยังเป็นแบบมือหมุนอีก เอาล่ะสิ! กว่าจะปรับให้ได้ตำแหน่งที่ต้องการ บางเวลาอยากปรับเอนนอนให้ผ่อนคลาย ต้องมานั่งหมุนๆๆ และหมุนกว่าจะเข้าที่ ทั้งมันยังแข็งและฝืดอีกด้วย ถ้าคุณผู้หญิงมาปรับคงมีเซ็งล่ะ หรือไม่เขาก็อาจจะมองว่าเป็นสิ่งที่ไม่ได้ปรับบ่อยๆ หรือเปล่า แต่ผมแนะนำให้ทำเป็นคันโยกเหมือนรุ่นอื่นๆ จะจบแบบสวยงามเลยครับ!! และจากที่เคยกล่าวไปในส่วนของหลังคารถด้านหลังจะลาดแบบรถคูเป้ ไปดูกันว่าพื้นที่ด้านหลังจะเป็นอย่างไร 


ในส่วนของเบาะหลังหนานุ่มนั่งสบายครับ พื้นที่ด้านหลังโล่ง legroom เหลือเฟือ แถมยังเหยียดขาเข้าไปใต้เบาะคนขับได้ประมาณหนึ่ง พื้นที่เหนือศีรษะมีให้พอสมควร สำหรับผมสูง 178 ซม. นั่งแล้วศีรษะจะชนเพดานพอดิบพอดี แต่เป็นการนั่งแบบหลังตรงก้นชิดเบาะ ถ้านั่งแบบผ่อนคลายสบายๆ จะไม่มีปัญหาครับ พนักพิงศีรษะจะเป็นชิ้นเดียวกับตัวเบาะ แบบนี้จะได้ความนุ่มของฟองน้ำที่มีมากกว่า เพราะไม่มีโครงเหล็กที่จะเสริมมากเท่าแบบแยกชิ้น โดยจะให้มาสองฝั่งซ้ายขวา ตรงกลางไม่มีนะครับ อ้อ! เกือบลืมไปว่าเบาะจะสามารถพับได้แบบ 100% เท่านั้นนะครับ พับแยกไม่ได้

จุดเด่นสำคัญของ MG 5 ก็คงจะเป็นอะไรไปไม่ได้ นอกจากหลังคาซันรูฟนั่นเองครับ (ค่ายนี้เอาใจคนไทยจัดมาให้ทั้ง 3 รุ่นเลย) แน่นอนว่าจะมีในรุ่น X Sunroof ตามชื่อเลย โดยปุ่มเปิดจะอยู่บริเวณไฟส่องสว่างห้องโดยสารด้านหน้า กดครั้งแรกบานกระจกจะแง้มขึ้นระบายอากาศ กดครั้งที่สองจะเป็นการเปิดซันรูฟแบบ One touch แต่ตอนปิดต้องกดค้างอย่างเดียวครับ


ขยับไปดูพื้นที่ท้ายรถกันบ้าง การเปิดฝากระโปรงท้ายก็ไม่ต้องไปคลำหายาก ดันตรงฐานกล้องมองหลังได้เลยครับ พื้นที่นั้นต้องบอกว่าโคตรจะกว้างครับตัวยาวขนาดนี้ โดยใต้แผ่นรองจะซ่อนเครื่องมือและล้อยางอะไหล่ไว้ ซึ่งจะเป็นล้อกระทะ และจะมีจุดที่สามารถเปิดฝาท้ายจากด้านในได้ ในกรณีที่อาจมีเด็กๆ เล่นซนไปขังตัวเองไว้ในที่เก็บของท้ายรถ เขาก็จะมีช่องให้เกี่ยวเอาสายออกมาแล้วดึง เพียงเท่านี้ฝาท้ายก็จะเปิดออกได้ครับ ตอนเก็บก็ยัดๆ สายเข้าไปไว้ที่เดิม ถือว่าเป็นการเซฟตี้อีกอย่างหนึ่ง

ขุมพลังจะมีให้เลือก 2 แบบ คือ เครื่องยนต์เบนซิน 1.5 ลิตร 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH ให้กำลัง 106 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 135 นิวตัน-เมตร ที่ 4,500 รอบต่อนาที ส่งกำลังผ่านระบบเกียร์อัตโนมัติ 4 จังหวะ พร้อมโหมด Sport และ Manual


และเครื่องยนต์เบนซินขนาด 1.5 ลิตร เทอร์โบ 4 สูบ 16 วาล์ว VTi-TECH ให้กำลังสูงสุด 129 แรงม้า ที่ 5,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 210 นิวตัน-เมตร ที่ 2,000-4,400 รอบต่อนาที พร้อมเกียร์อัตโนมัติ 6 จังหวะ พร้อมโหมด Sport และ Manual 
ซึ่งทั้ง 2 เครื่องจะอัตราสิ้นเปลืองเชื้อเพลิงเฉลี่ยอยู่ที่ 15.9 กิโลเมตรต่อลิตร (อ้างอิงจาก ECO Sticker) และสามารถรองรับน้ำมันแก๊สโซฮอล์ E85 ได้ครับ

ระบบความปลอดภัยเป็นสิ่งที่คนไทยส่วนหนึ่งเริ่มเห็นความสำคัญกันมากขึ้น โดย MG 5 ก็ได้มีการจัดให้แบบเต็มๆ ไม่มีกั้ก ได้แก่

- โครงสร้างตัวถังนิรภัยแบบ FSF
- ระบบเบรก ABS ป้องกันล้อล็อก และระบบกระจายแรงเบรก EBD
- ระบบเสริมแรงเบรก EBA
- ระบบควบคุมการทรงตัว SCS
- ระบบป้องกันการลื่นไถลเมื่อลดเกียร์ต่ำอย่างฉับพลัน MSR
- ระบบควบคุมการเบรกในขณะเข้าโค้ง CBC
- ระบบป้องกันล้อหมุนฟรีและควบคุมการลื่นไถล TCS
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HAS
- ระบบตรวจสอบความผิดปกติแรงดันลมยาง ITPMS
- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
- กล้องมองหลัง
- สัญญาณเตือนกะระยะถอยหลัง

ระบบที่ไล่มาทั้งหมดนี้ MG เขาจัดให้ทุกรุ่นย่อยครับ! คิดดูว่ารถบางรุ่นกว่าจะได้ขนาดนี้ต้องเป็นตัวท็อป ส่วนรุ่นรองก็ได้ระบบลดหลั่นลงมา ถือว่าเป็นจุดขายอีกอย่างก็ว่าได้ และขอชื่นชมจากใจที่ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ครับ

รู้เรื่องตัวรถ ออพชั่นต่างๆ กันไปแล้ว เรามาดูราคากันครับว่าจะโดนใจหรือไม่ โดยจะมีทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ดังนี้
- รุ่น 1.5 D ราคา 649,000 บาท
- รุ่น 1.5 X Sunroof ราคา 699,000 บาท
- รุ่น 1.5 Turbo D ราคา 719,000 บาท
- รุ่น 1.5 Turbo X Sunroof ราคา 759,000 บาท

แต่ถ้าหากซื้อรถตั้งแต่วันนี้ - 31 ธันวาคม 2558 จะได้ราคาพิเศษช่วงแนะนำ พร้อมฟรีประกันภัยชั้น 1 ดังนี้
- รุ่น 1.5 D ราคา 629,000 บาท
- รุ่น 1.5 X Sunroof ราคา 679,000 บาท
- รุ่น 1.5 Turbo D ราคา 699,000 บาท
- รุ่น 1.5 Turbo X Sunroof ราคา 739,000 บาท (ถูกลง 20,000 บาททุกรุ่นครับ)


ECO STICKER อัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่

ในวันที่ 1 มกราคมจะเป็นวันแรกที่จะบังคับใช้อัตราภาษีสรรพสามิตรถยนต์ใหม่ ซึ่ง MG 5 จัดอยู่ในกลุ่มรถยนต์นั่งประเภท E85 และรถที่ใช้ก๊าซธรรมชาติที่มีความจุกระบอกสูบไม่เกิน 3,000 ซีซี

เงื่อนไข
- รถที่ปล่อยค่า Co2 ไม่เกิน 150 กรัมต่อกิโลเมตร เดิมจัดเก็บภาษี 25% ภาษีใหม่จัดเก็บ 25%
- รถที่ปล่อยค่า Co2 150-200 กรัมต่อกิโลเมตร เดิมจัดเก็บภาษี 25% ภาษีใหม่จัดเก็บ 30%
- รถที่ปล่อยค่า Co2 เกิน 200 กรัมต่อกิโลเมตร เดิมจัดเก็บภาษี 30% ภาษีใหม่จัดเก็บ 35%

MG 5 ในรุ่นไม่มีเทอร์โบจะปล่อยค่าไอเสียอยู่ที่ 147 กรัมต่อกิโลเมตร
MG 5 ในรุ่นมีเทอร์โบจะปล่อยค่าไอเสียอยู่ที่ 149 กรัมต่อกิโลเมตร
ฉะนั้นจะเข้าเงื่อนไขแรก คือจัดเก็บภาษี 25% เท่าเดิม ราคาจะไม่เพิ่มในปีหน้าครับ

       สุดท้ายขอสรุปสั้นๆ ว่า ใครที่กำลังมองหารถยนต์นั่งสักคันโดยเลือกความคุ้มค่าจากเงินที่จ่ายไป MG 5 คันนี้ตอบโจทย์ได้แน่นอนครับ ตัวรถได้เปรียบเจ้าอื่นเรื่องขนาด วัสดุและการประกอบดีครับ ภายในนั่งสบาย แถมกินขาดกับระบบความปลอดภัยที่ให้มาในชนิดที่ว่า ไม่มีเจ้าไหนใจป้ำเท่านี้อีกแล้ว ฉุกคิดขึ้นเลยว่าทำไม MG ถึงให้ได้ แล้วค่ายอื่นที่ขายรถกันมามากมาย ประสบการณ์เยอะกว่า ทำไมถึงให้ไม่ได้เท่านี้ในรถระดับเดียวกัน MG 5 ถือว่าเป็นรถที่คุ้มค่ามากในเวลานี้ แต่เรื่องของศูนย์บริการก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่จะต้องสร้างความเชื่อมั่นให้กับผู้บริโภค คงต้องอาศัยเวลาสักพักเชื่อว่าคนไทยเปิดใจให้มากขึ้นแน่นอน ซึ่งตอนนี้ก็มีตัวแทนจำหน่ายเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หากใครสนใจก็ลองไปสัมผัสได้ที่โชว์รูมทั่วประเทศ

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น