วันศุกร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

First Challenge : All New Suzuki Ciaz อีโคคาร์สุดภูมิฐาน..มาดผู้ดีกว่าใครๆ..!!



       การที่จะตัดสินใจเลือกซื้อรถสักคันนอกจากจะมีความพร้อมเรื่องทรัพย์ที่จะต้องจ่ายแล้ว การเลือกรถคู่ใจก็เป็นสิ่งที่จะต้องคิดหนักแบบสุดๆเช่นกัน เพราะต้องเลือกให้เหมาะสมกับความต้องการของเราให้มากที่สุด ผมเคยคุยกับคนที่บ้านว่า "ถ้าจะถอยรถสักคันเนี่ย..เอาเก๋งเล็กๆก็พอเน้าะ?" แต่เสียงตอบกลับก็ไม่เป็นไปอย่างที่คิด เพราะที่บ้านยังอยากได้รถกระบะสี่ประตูเผื่อว่าวันใดวันนึงมีของต้องขน จะได้บรรทุกไปแบบชิลๆ ห้องโดยสารจุคนได้สัก 4-5 คนจะได้นั่งกันสบายๆหน่อย อืมม!! ก็มีเหตุมีผลนะ 

       แต่เอาเข้าจริงๆแล้วใช้ชีวิตในเมืองก็แทบไม่ได้บรรทุกอะไรมากมาย ถ้าเป็นรถเก๋งขนาด B-C Segment ก็น่าจะตอบโจทย์เราได้ดีกว่า หรือไปเล่นรถ Eco Car ยังได้เลย สมัยนี้ต้องเน้นประหยัดๆไว้ก่อน ผมเชื่อว่าคนส่วนหนึ่งต้องเคยมีเหตุการณ์แบบนี้แน่นอน เพราะเราชอบอย่างเดียวไม่พอ พ่อ แม่ หรือผบ.ย่อมมีอิทธิพลในการตัดสินใจด้วยทั้งนั้น ซึ่งก็ต้องคุยกันยาวเลยทีเดียว ฮ่าๆๆ 

       ในปัจจุบันรถ Eco Car ก็ยังเป็นรถที่ตอบโจทย์คนรุ่นใหม่หรือคนในเมือง เพราะมีความเหมาะสมในหลายๆด้าน รวมถึงความประหยัดน้ำมันที่สามารถทำได้ดีด้วย อย่างเช่นซูซูกิค่ายรถอินดี้มีรถที่ร่วมโครงการนี้สองรุ่นด้วยกัน ได้แก่ Swift และ Celerio ก็มีกระแสตอบรับอย่างดี แต่นั่นยังไม่พอ Suzuki ยังปล่อยรถอีโคคาร์ปิดท้ายในเฟสแรกออกมากระตุ้นตลาดอีกครั้งในชื่อ Suzuki Ciaz นั่นเองครับ เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 8 กรกฎาคม 2558 พร้อมรูปลักษณ์ที่ต้องบอกว่าสวยไม่แพ้กลุ่ม B-C Segment

       Suzuki Ciaz ถูกเปิดตัวครั้งแรกในประเทศอินเดียซึ่งเป็นตลาดหลักของซูซูกิ และตามด้วยประเทศจีนที่ขายในชื่อ Alivio (อัลลิวิโอ) และล่าสุดก็ได้เผยโฉมในไทยอย่างเป็นทางการสักที หลังจากที่หลายคนก็รอมานานพอสมควร ซึ่งซูซูกิซอยรุ่นออกมาทั้งหมด 4 รุ่นย่อย ได้แก่ รุ่น GA MT, รุ่น GL MT, รุ่น GL CVT และรุ่น GLX CVT ส่วนรุ่น GLS (Top of the line) จะเปิดตัวในภายหลัง ซึ่งก็เท่ากับว่า ณ ตอนนี้รุ่น GLX CVT คือเทียบเท่ารุ่นท็อป ซึ่งเป็นรุ่นที่ผมได้สัมผัสมาครับ




       ก่อนหน้านี้เราก็พอจะทราบแล้วล่ะว่า Suzuki Ciaz จะเข้าไทยในนามรถอีโคคาร์ แต่ด้วยรูปลักษณ์ที่ดูหล่อดูสวยดูดีกว่ารถในโครงการด้วยกันอย่างชัดเจน ก็เดาได้เลยว่ามันจะเป็นรถอีกคันที่ได้รับความนิยมพอสมควรเลย ด้านหน้าจะมีดีไซต์ที่โดดเด่นและลงตัวแบบสุดๆ งานนี้ซูซูกิลงทุนยัดไฟหน้าแบบโปรเจ็กเตอร์มาให้ทุกรุ่น เรียบหรูด้วยกระจังหน้าและกันชนล่างที่ให้ความสปอร์ต ตัวถังมีขนาดค่อนข้างใหญ่ ในช่วงฐานล้อที่ยาว แสดงว่ารถคันนี้จะต้องมีเนื้อที่ภายในห้องโดยสารมากพอสมควร (ซึ่งเราจะพูดในลำดับต่อไป) ไฟท้ายที่หลายๆคนบอกว่าเหมือน Honda City จังเลย ฮ่าๆๆ มันก็คล้ายๆกันแหละครับ แต่บอกเลยว่าเจ้านี่ทำมาตั้งแต่ตัวคอนเซ็ปต์แล้วก่อนแล้ว!! ซึ่งภายนอกโดยรวมของรถคันนี้มีความสวยหรู ติดสปอร์ต และที่สำคัญผมกล้าพูดว่ามันเป็นรถที่ดูภูมิฐานที่สุดในรถอีโคคาร์และกลุ่มบีเซ็กเมนต์!!

       มิติตัวรถมีความยาวทั้งหมด 4,490 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,730 มิลลิเมตร ความสูง 1,475 มิลลิเมตร และมีฐานล้อยาว 2,650 มิลลิเมตร ถ้าเทียบกับ Nissan Almera ที่มีตัวถังใกล้เคียงกัน จะมีความยาว 4,425 มิลลิเมตร ความกว้าง 1,695 มิลลิเมตร ความสูง 1,500 และฐานล้อยาว 2,600 มิลลิเมตร จะเห็นได้ว่าซูซูกิ เซียส มีความยาวกว่าอัลเมร่าอยู่ 65 มิลลิเมตร กว้างกว่า 35 มิลลิเมตร เตี้ยกว่า 25 มิลลิเมตร และฐานล้อยาวกว่าถึง 50 มิลลิเมตร




Options ภายนอกที่ให้มาในแต่ละรุ่น เริ่มจากรุ่น GA
  • ไฟหน้าแบบโปรเจ็กเตอร์
  • กระจกสีตัดแสง
  • ไฟเลี่ยวข้างตัวรถ
  • ไล่ฝ่ากระจกหลัง
  • ที่ปัดน้ำฝนแบบหน่วงเวลา
  • กระจกมองข้างสีดำปรับไฟฟ้า
  • กระจกมองหลังปรับแสงได้
  • กระจังหน้าสีดำ
  • ที่เปิดประตูสีดำ
  • แผงทับทิมสะท้อนแสงด้านหลัง
  • ล้อกระทะขนาด 185/65R15
รุ่น GL สิ่งที่ได้เพิ่มจากรุ่น GA ได้แก่
  • กระจกมองข้างสีเดียวกับตัวรถ
  • กระจังหน้าโครเมียม
  • ล้อกระทะพร้อมฝาครอบ
รุ่น GLX สิ่งที่ได้เพิ่มจากรุ่น GL ได้แก่
  • ไฟตัดหมอกคู่หน้า
  • กระจกมองข้างปรับและพับไฟฟ้า พร้อมไฟเลี้ยวในตัว
  • ที่เปิดประตูตกแต่งโครเมียม
  • ล้ออัลลอย ขนาด 185/65R15


       ก่อนที่จะเปิดเข้าไปชมภายในห้องโดยสาร องศาความกว้างของประตูทั้งบานหน้าและหลังนั้นมีพื้นที่เหลือเฟือครับ กว้างขวางมาก คนตัวใหญ่ๆสูงๆสามารถสอดตัวเข้าไปได้อย่างสบาย และเมื่อเข้านั่งหลังพวงมาลัย สิ่งแรกที่รู้สึกได้คือ มันหรูหราเกินหน้าเกินตาค่ายอื่นมาก ทุกอย่างถูกจัดไว้อย่างลงตัวและใช้งานง่าย พวงมาลัยยกมาจาก Swift แต่จะมีการกรีดลายตกแต่งโครเมียม มาตรวัดก็ถูกจัดใว้แบบสวิฟท์แต่จะดูหรูกว่ากันชัดเจน พร้อมจอ MID บอกรายละเอียดต่างๆ ช่องแอร์ริมฝั่งซ้ายขวาเป็นทรงสี่เหลี่ยม และตรงกลางคอนโซลฝั่งขวาจะมีลักษณะการดีไซต์เอียงเข้าหาผู้ขับขี่ 

       ในส่วนของชุดเครื่องเสียงก็ยังจัดไว้อย่างเรียบง่าย ใช้งานสะดวก ซึ่งจะมีการตกแต่งด้วยวัสดุสีเงินที่ลากคั่นกลางคอนโซล ข้อดีคือมันได้ความสวยงามนะ แต่ถ้าขับไปที่ที่มีแดดจัดๆแสงก็อาจจะสะท้อนเข้าตาได้ เบาะนั่งด้านหน้าถือว่าให้ความสบายพอสมควร คือที่รองนั่งมีการรองรับกับต้นขาได้ดี ซึ่งไม่สั้นไม่ยาว ปีกด้านข้างโอบกระชับดีมากและพนักพิงไม่ดันศีรษะเลย ส่วนพื้นที่ด้านหลังจะกว้างขวางมากกกก เข้าไปนั่งปุ้บ!! จะรู้เลยว่ามันโอ่งอ่าจริงๆ เบาะรองนั่งยาวพอประมาณ ถ้ายาวกว่านี้จะดีมาก และมีมุมเงยที่พอเหมาะ พนักพิงหลังเอนเยอะพอสมควรนะ แต่เสียดายตรงที่พนักพิงศีรษะมันเป็นชิ้นเดียวกับตัวเบาะ ปรับขึ้นลงไม่ได้ แต่ก็ยังดีที่ให้ที่วางแขนกลางเบาะพร้อมที่วางแก้วสองช่อง แต่เบาะก็ไม่สามารถที่จะแยกพับแบบ 60:40 เลยสักรุ่น พื้นที่วางขาห่างจากเบาะหน้าเยอะมากครับ นั่งไขว่ห้างได้เป็นอะไรที่จิ๊บจ๊อยมากสำหรับรถคันนี้ แต่พื้นที่เหนือศีรษะในฐานะที่ผมสูง 178 ซม. ก็แอบมีเฉี่ยวๆเหมือนกันนะ 




ใต้ชุดเครื่องเสียงจะมีที่วางแก้ว และช่องเชื่อมต่อต่างๆ โดยมีฝาปิดไว้เพื่อความเรียบร้อย

อุปกรณ์ภายในของรุ่น GA จะมีดังนี้
  • เบาะผ้า
  • กระจกหน้าต่างไฟฟ้า Auto ฝั่งคนขับ
  • ระบบปรับอากาศธรรมดา
  • ฝากระโปรงหลังเปิดไฟฟ้า
  • พวงมาลัยสามก้านวัสดุยูรีเทน ปรับสูงต่ำได้
  • พวงมาลัยพาวเวอร์ไฟฟ้า
  • จอแสดงผล MID
  • ที่วางแก้ว 8 จุด
  • ช่องจ่ายไฟสำรอง 12V
  • ที่วางแขนกลางเบาะหลัง
รุ่น GL สิ่งที่ได้เพิ่มจากรุ่น GA ได้แก่
  • เครื่องเล่นวิทยุ CD MP3 และ WMA
  • ลำโพง 4 ตัว
  • ช่องเชื่อมต่อ AUX และ USB
  • เบาะนั่งฝั่งคนขับปรับสูงต่ำได้
รุ่น GLX สิ่งที่ได้เพิ่มจากรุ่น GL ได้แก่
  • ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์
  • ระบบปรับอากาศอัตโนมัติ
  • Bluetooth
  • พวงมาลัยหุ้มหนัง พร้อมปุ่มมัลติฟังก์ชัน
  • มือจับประตูด้านในโครเมียม

       จะเห็นได้ว่ารุ่น GA นั้นจะไม่มีชุดเครื่องเสียงมาให้เลย รถยุคนี้แล้วแต่ไม่ใส่มาให้เนี่ยนะ เฮ้อ! มามุกเดียวกันกับ Celerio อีกละ (ถึงจะเป็นรุ่นถูกสุดแต่ก็เถอะนะ) และขอตินิดนึงว่าเบาะหลังน่าจะทำให้แยกพับได้ เพื่อที่จะเพิ่มความอเนกประสงค์ให้กับผู้ใช้ แต่นอกนั้นก็ถือว่าโอเคครับ ออพชันไม่ได้มีมากมายเท่าไหร่นัก ซึ่งเป็นไปได้ว่าอาจจะเอาไปใส่ในรุ่น GLS โป้งเดียวเลย! แต่จุดเด่นสำคัญของรถคันนี้จะอยู่ที่พื้นที่ภายในห้องโดยสาร โดยเฉพาะพื้นที่ด้านหลังนั้นกว้างมากๆ และตัวเบาะก็นั่งสบาย

       ขุมพลังจะเป็นตัวเดียวกับของ Suzuki Swift แต่จะมีการปรับจูนใหม่ให้ดีขึ้น โดยใช้เครื่องยนต์ K12B 4 สูบ 16 วาล์ว ความจุ 1,242 ซีซี ให้กำลังสูงสุด 91 แรงม้า ที่ 6,000 รอบต่อนาที แรงบิด 118 นิวตัน-เมตร ที่ 4,800 รอบต่อนาที จะมีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเกียร์อัตโนมัติแบบ CVT 

       ชุดช่วงล่างด้านหน้าเป็นแม็กเฟอร์สัน สตรัท พร้อมคอยล์สปริง ด้านหลังเป็นแบบทอร์ชั่นบีม พร้อมคอยล์สปริง ระบบเบรคหน้าดิสก์หลังดรัม




ระบบความปลอดภัยก็ถือว่าให้มาแบบพอเพียง(แต่ไม่เพียงพอ) ดังนี้
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
  • ระบบช่วยเบรค BA
  • ไฟเบรคดวงที่สาม
  • ระบบเซ็นทรัลล็อก
  • กุญแจนิรภัย Immobilizer
  • ระบบสัญญาณกันขโมย
  • สัญญาณเตือนเมื่อลืมปิดไฟหน้าหรือลืมกุญแจ
  • สัญญาณเตือนเมื่อไม่คาดเข็มขัดนิรภัยฝั่งคนขับ
  • เข็มขัดนิรภัยหน้าแบบดึงกลับอัตโนมัติ และปรับสูงต่ำได้
  • ข็มขัดนิรภัยด้านหลังแบบ ELR 3 จุด 2 ตำแหน่ง และ 2 จุด 1 ตำแหน่ง
  • ระบบเบรคกันล้อล็อก ABS และกระจายแรงเบรค EBD (เฉพาะรุ่น GL และ GLX)
โดยราคาของ Suzuki Ciaz จะมีดังนี้
- รุ่น GA MT ราคา 484,000 บาท
- รุ่น GL MT ราคา 523,000 บาท
- รุ่น GL CVT ราคา 559,000 บาท
- รุ่น GLX CVT ราคา 625,000 บาท

โดยจะมีสีทั้งหมด 5 สี คือ 

- สีขาว (Snow White Pearl)
- สีบรอนด์เงิน (Star Silver Metallic)
- สีเทา (Mineral Grey Metallic)
- สีดำ (Super Black Pearl)
- และสีน้ำตาลส้มใหม่ (Dignity Brown Pearl Metallic)     

       สรุปแล้ว Suzuki Ciaz ถือว่าเป็นรถอีโคคาร์ที่มีความน่าสนใจอีกรุ่นหนึ่ง ถึงแม้ตอนนี้รุ่น GLS ยังไม่ได้จำหน่าย แต่รุ่นรองลงมาก็ยังสร้างยอดจองและส่งมอบไปแล้วหลายคัน จุดเด่นของรถคันนี้อยู่ที่การดีไซต์ให้มีภาพลักษณ์แบบผู้ดีกว่ารถระดับเดียวกัน การออกแบบที่ดูภูมิฐานกว่า มันจึงช่วยยกระดับรถคันนี้ให้น่าสนใจมากขึ้น พื้นที่ภายในห้องโดยสารที่กว้างขวางสุดๆ ก็สามารถตอบโจทย์ได้หลากหลายเช่นกัน แต่เมื่อมองไปดูออพชันที่ให้มา บางอย่างก็ดี บางอย่างก็ขาด เพราะให้ไฟหน้าโปรเจ็กเตอร์มาให้ทุกรุ่น แต่ในรุ่นถูกสุดดันตัดชุดเครื่องเสียงออกและใส่เพียงระบบช่วยเบรค BA มาให้เท่านั้น ไร้ซึ่ง ABS และ EBD จะดีกว่าไหมถ้าเอาไฟหน้าธรรมดาแต่ยัดพวกที่เหลือไปไว้แทน?? หึหึ หรือว่าเขาศึกษานิสัยคนไทย(ส่วนใหญ่)แล้วว่าชอบออพชันเยอะๆ นู่น! นี่! นั่น! ต้องใส่มานะ จนมองข้ามระบบความปลอดภัยไปซะแล้ว (ถึงค่ายอื่นก็ไม่ใส่มาให้ แต่ พ.ศ.นี้น่าจะยัดมาได้แล้ว) แต่ทั้งนี้ก็อยู่ที่ตัวคุณๆทั้งหลายแล้วล่ะว่าจะรับกับรถคันนี้ได้ไหม ซึ่งก็รวมไปถึงการขับขี่ด้วยว่าเพียงพอหรือเปล่า..ถ้ารับได้ Suzuki Ciaz ก็เป็นตัวเลือกที่มิอาจมองข้ามได้..!!

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************

Nissan NP300 Navara คว้ามาตรฐานความปลอดภัยระดับ 5 ดาวได้สำเร็จ จาก ANCAP..!!


       ANCAP ได้เผยผลการทดสอบรถกระบะ All New Nissan NP300 Navara ซึ่งเป็นสนามทดสอบจากประเทศออสเตรเลีย โดยมีการทดสอบทั้งหมด 3 ตัวถังด้วยกัน..!!

       Nissan NP300 Navara หลังจากที่เปิดตัวและจำหน่ายในไทยแล้ว ในออสเตรเลียก็จำหน่ายในช่วงเวลาที่ใกล้เคียงกัน และเพื่อหาความปลอดภัยจากตัวรถที่จะสามารถปกป้องผู้โดยสารได้มากแค่ไหน จึงต้องมีการจัดการทดสอบชนเพื่อเป็นมาตรฐานตามข้อกำหนดในแต่ละประเทศหรือในภูมิภาคนั้นๆ

       รุ่นที่นำมาทดสอบจะมีอุปกรณ์มาตรฐานความปลอดภัย คือ ถุงลมนิรภัย 7 ตำแหน่ง (คู่หน้า กันเข่าผู้ขับขี่ ด้านข้าง และม่านนิรภัย) ระบบเบรคป้องกันล้อล็อก ABS, กระจายแรงเบรค EBD, ระบบช่วยเบรคฉุกเฉิน EBA, ระบบควบคุมเสถียรภาพอิเล็กทรอนิกส์ ESC และเข็มขัดนิรภัยทุกตำแหน่งที่นั่ง



       การทดสอบ Nissan NP300 Navara ครั้งนี้จะมีทั้งหมด 3 ตัวถัง คือแบบตอนเดียว แบบตอนครึ่ง และแบบสองตอน โดยจะได้คะแนนที่แตกต่างกันไปดังนี้

รุ่น Single Cab แบบตอนเดียว
การชนด้านหน้าได้ 14.01 จาก 16 คะแนน
การชนด้านข้างได้ 16 คะแนนเต็ม
การชนเสาด้านข้างได้ 2 คะแนนเต็ม
การดึงรั้งของเข็มขัดนิรภัยได้ 2 จาก 3 คะแนน
รวม 34.01 จาก 37 คะแนน

รุ่น King Cab แบบตอนครึ่ง และรุ่น Double Cab แบบสองตอน (ได้คะแนนเท่ากัน)
การชนด้านหน้าได้ 14.01 จาก 16 คะแนน
การชนด้านข้างได้ 16 คะแนนเต็ม
การชนเสาด้านข้างได้ 2 คะแนนเต็ม
การดึงรั้งของเข็มขัดนิรภัยได้ 3 คะแนน
รวม 35.01 จาก 37 คะแนน

       "นิสสันพัฒนาออกแบบโครงสร้างตัวถังและการรัดเข็มขัดนิรภัยใหม่ให้ดียิ่งขึ้น การที่ ANCAP ได้ทำการทดสอบการชนของ Navara และได้ผลการทดสอบออกมาเป็นที่น่าพอใจ ยิ่งเป็นการตอกย้ำถึงคุณภาพผลิตภัณฑ์ที่ดีกว่าเดิมอย่างเห็นได้ชัด" นายคลาร์กกล่าว

       จากการทดสอบดังกล่าวทำให้ทั้ง 3 ตัวถัง ได้รับคะแนนสูงสุด 5 ดาวไปครอง แต่หากจะใช้อิง NP300 Navara ที่ขายในเมืองไทยก็คงจะไม่ค่อยตรงมากนัก เพราะอุปกรณ์ความปลอดภัยจะมีมากกว่าบ้านเรานั่นเอง..!!

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************




All-New Mitsubishi Triton คว้า 4 ดาวในการทดสอบการชนจาก Asean NCAP!!


       หลังจากที่ All New Mitsubishi Triton เปิดตัวและทำตลาดในไทยไปได้สักพัก ก็ได้มีบททดสอบการชนจาก ANCAP ในออสเตรเลียออกมา สามารถคว้า 5 ดาวไปได้ และล่าสุดก็ได้มีการทดสอบจาก Asean NCAP ในประเทศมาเลเซีย..!!

       การทดสอบนี้จัดขึ้นภายใต้การดูแลของสำนักวิจัยความปลอดภัยบนท้องถนนในมาเลเซีย (MIROS) ซึ่งรถ Mitsubishi Triton ที่นำมาทดสอบนี้มาจากการผลิตในโรงงานประเทศไทย ดังนั้นเราจึงสามารถที่จะอ้างอิงจากการทดสอบนี้ได้ 

       โดยรุ่นที่นำมาทดสอบจะมีถุงลมนิรภัยเพียงคู่หน้าเท่านั้น (ไม่มีด้านข้างหรือม่านนิรภัย) ผลทดสอบการชนของ Mitsubishi Triton 2015 จะเป็นการชนแบบเกือบครึ่งคันด้านหน้า หรือประมาณ 40% โดยคะแนนในส่วนของการปกป้องผู้ใหญ่ได้ 13.56 จาก 16 คะแนน ซึ่งอยู่ในเกณฑ์ 4 ดาว ส่วนด้านการปกป้องเด็กจะได้ไป 48% หรือเพียง 2 ดาวเท่านั้น!!


       การทดสอบนี้ทำให้รู้ว่ารถในภูมิภาคหรือที่จำหน่ายในประเทศไทยนั้นมีความสามารถปกป้องผู้โดยสารมากน้อยขนาดไหนยามเกิดอุบัติเหตุ ซึ่งถือเป็นเรื่องที่จำเป็นมากต่อชีวิตและทรัพย์สินโดยมิอาจมองข้ามได้..!!


ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************

Honda ปลื้มหลังจาก HR-V คว้า 5 ดาว ในการทดสอบการชนจาก Asean NCAP!!


       การซื้อรถสักคัน สิ่งหนึ่งที่อยากให้ศึกษาเพื่อเป็นการตัดสินใจนั่นคือการทดสอบการชน เพราะมันจะหมายถึงการปกป้องชีวิตเราหากเกิดเหตุไม่คาดฝันขึ้น ซึ่งวันนี้ก็เป็นคิวของ Honda HR-V ที่ได้ทดการทดสอบในสนาม Asean ncap!!

       ล่าสุด Asean ncap ได้ทำการทดสอบรถยนต์ Honda HR-V ที่ผลิตจากประเทศไทย โดยจะมีระบบความปลอดภัยต่างๆ ดังนี้ ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD และระบบ Auto Brake Hold, ระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง VSA, ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน HSA, ระบบถุงลม 6 ตำแหน่ง ได้แก่ ถุงลมด้านคู่หน้า ถุงลมด้านข้าง และม่านถุงลม โดยจะมีจุดยึดเบาะนั่งสำหรับเด็ก (ISOFIX) 


โดยผลการทดสอบการชนแบบเกือบครึ่งคันหน้าจะได้ดังนี้
- ความปลอดภัยที่ป้องกันผู้ใหญ่ (AOP) ได้คะแนน 15.21 ส่วน 16 คะแนน 
- และความปลอดภัยที่ปกป้องเด็ก ได้คะแนน 73% 

       "เรามีความภูมิใจเป็นอย่างยิ่งที่รถยนต์ ฮอนด้า เอชอาร์-วี ได้ผ่านการทดสอบความปลอดภัยระดับ 5 ดาว จาก ASEAN NCAP (ASEAN New Car Assessment Program) โดยรถยนต์ที่นำมาใช้ในการทดสอบครั้งนี้เป็นรุ่นที่ผลิตและจำหน่ายในประเทศไทย แสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นในการสร้างสรรค์ยนตรกรรมที่เปี่ยมไปด้วยคุณภาพและความปลอดภัยสูงสุดสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารทั้งผู้ใหญ่และเด็ก และถือเป็นการตอกย้ำความสำเร็จของ ฮอนด้า เอชอาร์-วี ในฐานะผู้นำตลาดรถยนต์สปอร์ตครอสโอเวอร์ระดับพรีเมี่ยมในประเทศไทยได้อย่างสมบูรณ์แบบ” นายพิทักษ์ พฤทธิสาริกร ประธานเจ้าหน้าที่บริหารปฏิบัติการ บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด กล่าว


ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เผยราคา All New Mitsubishi Pajero Sport ในรุ่นท็อปช่วงแนะนำ 1,399,000 บาท เปิดตัว 1 สิงหาคมนี้..!!

       ใกล้เข้ามาทุกทีแล้วกับงาน Big Motor Sale 2015 ที่จะจัดขึ้นในวันที่ 1-9 สิงหาคม ที่ไบเทคบางนา ซึ่งก็มีรถมาจัดแสดงและเปิดตัวรุ่นใหม่ๆอีกมากมาย และหนึ่งในนั้นถือว่าเป็นรถที่ทุกคนให้ความสนใจมากที่สุดคือ All New Mitsubishi Pajero Sport



       หลังจากที่เจ้าตลาดของรถกลุ่ม PPV อย่าง All New Toyota Fortuner ได้เปิดตัวไปเมื่อไม่กี่วันที่แล้ว รวมถึง All New Ford Everest ที่เปิดตัวไปก่อนหน้านี้ ต่างก็งัดไม้เด็ดออกมากันอย่างสนั่นเมือง พร้อมเปิดราคาในรุ่นท็อปชนกันที่ 1,599,000 บาทเท่ากันเป้ะ!! 

       All New Mitsubishi Pajero Sport ผู้ที่ต้องเปิดตัวตามหลังเห็นทีจะต้องศึกษาสาวใส้ของทั้งสองคันนี้อย่างดี เพราะรถของมิตซูบิชิรุ่นนี้ ถือได้ว่าเป็นรุ่นที่จะต้องตัดสินชะตาชีวิตของตัวเองที่อยู่ในช่วงขาลง หลังจากที่ปล่อย All New Triton ไปก็ไม่ได้บูมอย่างที่คิด ซึ่งเจ้า Pajero Sport นี่แหละคือความหวังอันสูงสุดของเขาล่ะ





      แต่แล้วก็มีความคืบหน้าซึ่งเป็นข้อมูลที่หลายคนอยากรู้มากนั่นก็คือราคา ซึ่งเว็บ headlightmag.com ได้ให้ข้อมูลออกมาที่ทำให้ทุกคนต้องอึ้งไปตามๆกัน!!

All New Mitsubishi Pajero Sport จะมีด้วยกันทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่
  • รุ่น 2.4 GLS ราคา 1,138,000 บาท
  • รุ่น 2.4 GT ราคา 1,250,000 บาท
  • รุ่น 2.4 GT 4WD ราคา 1,450,000 บาท (ราคาพิเศษช่วงแนะนำ 1,399,000 บาท พร้อมฟรีประกันภัยชั้น 1 ตั้งแต่ 1 สิงหาคม - 30 กันยายน 2558)

       จะเห็นได้ว่ารุ่นท็อปสุดนั้นจะมีราคาที่ถูกกว่า Fortuner และ Everest ถึงสองแสนบาท!! หากเป็นราคาปกติ 1,450,000 บาท ก็ยังจะมีส่วนต่างถึง 149,000 บาทเลยทีเดียว เป็นราคาที่น่าสนใจมาก แต่ทั้งนี้ก็ต้องรอดู Option ที่จะให้มาอีกทีว่าจะพอฟัดกับสองค่ายนั้นได้หรือเปล่า?


       ส่วนเครื่องยนต์นั้นจะใช้บล็อกเดียวกันกับ All New Triton ใหม่ เครื่องดีเซลขนาด 2.4 ลิตร แบบ 4 สูบ DOHC 16 วาล์ว MIVEC วีจีเทอร์โบ อินเตอร์คูลเลอร์ ที่ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 430 นิวตัน-เมตร(ข้อมูลส่วนนี้ยังไม่คอนเฟิร์มว่าตัวเลขจะเท่ากันหรือไม่) ส่วนความแตกต่างจะอยู่ที่ระบบเกียร์อัตโนมัติที่จัดมาให้ถึง 8 สปีดกันเลยทีเดียว


       All New Mitsubishi Pajero Sport มีกำหนดการเปิดตัวในวันที่ 1 สิงหาคม ที่งาน Big Motor Sale 2015 หากใครสนใจหรือสัมผัสตัวเป็นก็เชิญได้ที่ไบเทคบางนา ในวันที่ 1-9 สิงหาคมนี้ครับ..!!

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************
ข้อมูลจาก headlightmag.com
และขออนุญาตเจ้าของภาพทุกภาพครับ

ฮุนไดเตรียมเปิดตัว H-1 Limited จำนวนจำกัดในงาน BIG Motor Sale 2015 วันที่ 1 ส.ค.นี้..!!

       ค่ายจากเกาหลีอย่าง Hyundai ถือว่าประสบความสำเร็จกับโมเดล H-1 รถตู้กลุ่ม MPV ที่ได้รับกระแสนิยมทั่วประเทศ และในงาน BIG Motor Sale ที่จะจัดนี้ในอีกไม่นานนี้ ฮุนไดจึงต้องมีการเพิ่มสีสันให้กับ H-1 เพื่อตอบสนองไลฟ์สไตล์ขึ้นไปอีกระดับ..!!


       บริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด ผู้นำเข้าและจัดจำหน่ายรถยนต์ฮุนไดอย่างเป็นทางการ เตรียมเปิดตัวรถใหม่ The New Hyundai H-1 Limited ที่มีลุคความเป็นสปอร์ต ดุดันทั้งภายในและภายนอก พร้อมความสะดวกสบาย หรูหราในแบบสปอร์ตได้อย่างลงตัว

       
Hyundai H-1 Limited ได้รับการเติมเต็มให้สมบูรณ์แบบมากยิ่งขึ้น ภายนอกมาพร้อมสีขาว Creamy White ซึ่งเป็นสีพิเศษที่มีเฉพาะรุ่น H-1 Limited เท่านั้น สะท้อนรูปลักษณ์ที่ดูโดดเด่น หรูหรามากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยล้ออัลลอยลายใหม่ขนาด 17 นิ้ว สีพิเศษ Hyper Black ที่เพิ่มความสปอร์ต หรูหรา และดุดันกว่าเดิม ด้านท้ายเพิ่มความเป็นเอกลักษณ์เฉพาะด้วย โลโก้ตัวอักษรโครเมี่ยมใหม่ “LIMITED” บ่งบอกถึงความมีรสนิยมที่เหนือระดับอย่างแท้จริง


       ภายในมีการปรับเปลี่ยนลายไม้ใหม่ที่คอนโซลกลางเป็นสีเทาเข้ม เพิ่มความหรูหรา ล้ำสมัยมากยิ่งขึ้น พร้อมด้วยเบาะหนังลายใหม่สีเทาและพรมปูพื้นที่นุ่มนวลสีเทาเข้มเต็มคัน ที่เข้ากันได้อย่างลงตัวกับคอนโซลกลาง ดูกลมกลืน เรียบหรูแบบมีเอกลักษณ์ นอกจากนี้ยังเพิ่มความเป็นสปอร์ตด้วยพวงมาลัยหุ้มหนังพร้อมปุ่มควบคุมที่พวงมาลัย ทำให้ H-1 Limited มีความลงตัวแบบสปอร์ต เรียบหรูทั้งภายนอกและภายใน

       เครื่องยนต์ดีเซล 2.5 ลิตร แบบ Commonrail Direct Injection พร้อมระบบเทอร์โบแปรผัน VGT ที่ให้กำลังสูงสุดถึง 175 แรงม้า และแรงบิด 441 นิวตันเมตร พร้อมระบบเกียร์ออโต้ 5 สปีด แบบ Sequential Shift ระบบความปลอดภัยมีทั้งระบบดิกส์เบรก 4 ล้อ พร้อม ABS ถุงลมนิรภัยคู่หน้า กล้องมองหลังพร้อม
เซ็นเซอร์กะระยะ



       นายฮิเดกิ ยานากิซาวา ประธานบริษัท ฮุนได มอเตอร์ (ไทยแลนด์) จำกัด กล่าวว่า “เพื่อตอบแทนในกระแสตอบรับของแฟนคลับฮุนได ที่มอบความเชื่อมั่นและไว้วางใจในแบรนด์ฮุนไดมาตลอดระยะเวลา7ปี ซึ่งเป็นเครื่องยืนยันถึงความคุ้มค่าและสมรรถนะที่เหนือระดับของ Hyundai H-1 Series ที่ได้รับความนิยมสูงสุดในตลาด MPV ในขณะนี้ H-1 Limited ใหม่ ซึ่งเป็นรถยนต์อีกหนึ่งรุ่นที่ยกระดับความเป็นพรีเมี่ยมในแบบสปอร์ต อย่างแท้จริง โดยเราได้เพิ่มอุปกรณ์ตกแต่งพิเศษ ที่เน้นความสปอร์ต หรูหรา และเป็นเอกลักษณ์เฉพาะ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าที่กำลังมองหารถยนต์เอนกประสงค์ทางเลือกใหม่ที่ลงตัวและโดดเด่นไม่ซ้ำใคร”

       
Hyundai H-1 Limited จะเปิดรับจองเป็นครั้งแรกในงาน Big Motor Sale 2015 ระหว่างวันที่ 1-9 สิงหาคม 2558 ในจำนวนจำกัดและมีเพียงสีพิเศษ ขาว Creamy White เพียงสีเดียวเท่านั้น พร้อมข้อเสนอพิเศษได้ที่บู๊ธฮุนได A20 งาน Big Motor Sale ณ ไบเทค บางนา ตั้งแต่วันที่ 1 สิงหาคมเป็นต้นไป

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************

ฮอนด้าเปิดตัว All New Zoomer-X ใหม่สุดโฉบเฉี่ยว พร้อมราคา 5.5 หมื่นบาท..!!

       ตลาดรถจักรยานยนต์ออโตเมติกตอนนี้ก็ถือว่ายังมีการแข่งขันกันพอสมควร โดยแต่ละค่ายก็ทยอยออกรุ่นใหม่ๆและมีรูปทรงการดีไซต์ที่เป็นเอกลักษณ์ สะดุดตา และน่าจับจองมากขึ้น ซึ่งทางฮอนด้าเองก็พึ่งได้เผยโฉมรถรุ่นใหม่เมื่อไม่นานมานี้..!!



       บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า ได้ทำการเปิดตัว All New Zoomer-X โดยมีราคาแนะนำโดยประมาณที่ 55,300 บาท โดยนาย สุชาติ อรุณแสงโรจน์ กรรมการบริหาร บริษัท เอ.พี. ฮอนด้า จำกัด ผู้จัดจำหน่ายรถจักรยานยนต์ฮอนด้าในประเทศไทยเปิดเผยว่า "ฮอนด้าตอบโจทย์การใช้ชีวิตของคนไทยด้วยดีไซน์และเทคโนโลยีที่ทันสมัย จากที่ได้เปิดตัวรถ Zoomer-X เจเนอเรชันแรกในปี 2012 จนได้รับการตอบรับอย่างดี ในปี 2015 ได้พัฒนา All New Zoomer-X โฉมใหม่ เจเนอร์เรชันที่ 2 ที่เหนือระดับขึ้นไปอีกขั้น ด้วยการออกแบบให้เป็นรถสำหรับผู้ใช้ที่มีความเป็นตัวของตัวเองสูง ดีไซน์ของรถจึงมีรูปแบบฟรีฟอร์ม ดูแข็งแกร่งมากขึ้น มีส่วนที่โปร่งหรือพื้นที่ว่างมากขึ้น และได้ติดตั้งเทคโนโลยีใหม่อย่าง Honda Smart Technology เป็นครั้งแรก”

       สำหรับ Zoomer-X โฉมใหม่ ได้รับการออกแบบใหม่ทั้งคันภายใต้คอนเซปต์ “Unblocker I AM” ให้อารมณ์ของความเท่และดิบยิ่งกว่าเดิมด้วยโครงสร้างเหล็กแบบทัฟเฟรม (Tough Frame) เน้นความโปร่งเป็นพิเศษในสไตล์เรียลเนคเกด (Real Naked) พื้นที่ Free Space ขนาดใหญ่ไซส์ XL ไฟหน้าดีไซน์ใหม่ออกแบบให้มีความดุดันมากขึ้น เข้าชุดกับโช้กหัวกลับรองรับแรงสั่นสะเทือนได้ทุกสภาพถนน แผงหน้าปัดสุดล้ำแบบ Full Digital LCD พร้อมล้อแม็กดีไซน์ใหม่และยางแบบจุ๊บเลส 



       All New Zoomer-X โฉมใหม่ ล้ำหน้าด้วย Honda Smart Technology ที่สุดของ 3 เทคโนโลยีเข้าไว้ด้วยกัน ประกอบด้วยเครื่องยนต์ประสิทธิภาพสูง eSP(Enhanced Smart Power) ขนาด 110 ซีซี ระบบหัวฉีด PGM-FI สมรรถนะสูง แรงเสียดทานต่ำ ทำงานร่วมกับระบบหยุดเครื่องยนต์อัตโนมัติ Idling Stop System จึงมีอัตราประหยัดน้ำมันที่สูงถึง 62.3 กิโลเมตร/ลิตร (วัดตามมาตรฐาน สมอ. ECE R40 Mode) และติดตั้งระบบกระจายแรงเบรกหน้า-หลัง Combi Brake System เพื่อความมั่นใจ ทั้งยังเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมด้วยค่าไอเสียที่สะอาดผ่านมาตรฐานระดับ 6 และรองรับน้ำมัน E20 อีกด้วย

       เอ.พี. ฮอนด้าพร้อมวางจำหน่าย Zoomer-X โฉมใหม่ พร้อมกันทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 4 สิงหาคม 2558 เป็นต้นไป โดยมีให้เลือกถึง 6 สีได้แก่ สีดำออบซิเดียนแบล็ค, สีขาวไอคอนิคไวท์, สีแดงเลเซอร์เรด, สีเงินกรู๊ฟวี่ซิลเวอร์, สีน้ำเงินแมกเนติคบลู, และสีเหลืองซูพรีมเยลโลว์ 
ในราคาแนะนำโดยประมาณที่ 55,300 บาท ใครสนใจก็ติดต่อสอบถามที่ศูนย์จำหน่ายและบริการ Honda Wing Center ทั่วประเทศ..!!

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************

วันอาทิตย์ที่ 26 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ขายดีเกิน!! Honda HR-V เพิ่มรุ่น E Limited สำหรับใครที่ไม่อยากรอรุ่นท็อปนาน..!!


       Honda ปรับทัพแก้ไขปัญหาจากยอดจองรุ่นท็อปของ HR-V ที่มีผลตอบรับดีเกินคาดอย่างถล่มทลายจนไม่สามารถผลิตให้ทันตามความต้องการของลูกค้า จึงได้ยุติการจองรุ่นท็อป EL ไปก่อน และเพิ่มทางเลือกใหม่ในชื่อรุ่น E Limited ออพชันเหมือนรุ่นท็อปทุกอย่าง เพียงแค่ทุบซันรูฟออกไป..!!

       หลังจากที่ Honda HR-V เปิดตัวไปก็มียอดจองเข้ามาอย่างเรื่อยๆและเยอะขึ้นๆโดยเฉพาะในรุ่น EL ซึ่งเป็นรุ่น Top of the line จองมากจนเกินกำลังการผลิตซึ่งอาจจะทำให้ลูกค้ารอรถนาน ดังนั้นฮอนด้าจึงเพิ่มรุ่นพิเศษ E Limited เพิ่มเข้ามา โดยจะตัดเพียงหลังคาซันรูฟออกเท่านั้น โดยในรุ่น EL ก็ยังขายอยู่


       นอกนั้นไม่ว่าจะเป็นไฟ DRL แบบ LED ล้ออัลลอยขนาด 17 นิ้ว ภายในห้องโดยสารมีพวงมาลัยมัลติฟังก์ชัน, จอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว, ปุ่มสตาร์เครื่องยนต์, กระจกมองหลังแบบตัดแสงอัตโนมัติ, กระจกไฟฟ้าคู่หน้าปรับขึ้น-ลงอัตโนมัติ และ Paddle Shift ก็ยังอยู่ครบครัน

       เครื่องขนาด 1.8 ลิตร i-VTEC ให้กำลัง 141 แรงม้า ที่ 6,500 รอบต่อนาที แรงบิด 172 นิวตัน-เมตร ที่ 4,300 รอบต่อนาที พร้อมระบบเกียร์ CVT

       ระบบความปลอดภัยก็ยังมีระบบเบรก ABS และ EBD, 
ถุงลมนิรภัย 6 จุด, ระบบควบคุมการทรงตัวขณะเข้าโค้ง, ระบบช่วยการออกตัวขณะอยู่บนทางลาดชัน, กล้องมองหลัง, เซ็นเซอร์เตือนคาดเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารตอนหน้า

       ในปัจจุบัน HR-V มี 4 รุ่นย่อย ซึ่งราคาจำหน่ายจะมีดังนี้ รุ่น S ราคา 890,000 บาท, รุ่น E ราคา 965,000 บาท, รุ่น E Limited ราคา 1,005,000 บาท และรุ่น EL ราคา 1,045,000 บาท..!!

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************

วันเสาร์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คืนชีพ!! เผยภาพแรกของ New Suzuki GSX-R250 สปอร์ตฟูลแฟริ่ง พร้อมดีไซต์ Language ใหม่..!!

       จากข่าวลือต่างๆนานาของรถมอเตอร์ไซต์ 250cc. ทั้งค่าย Honda และ Kawasaki ที่กำลังจะทยอยปล่อยข้อมูลกันมากขึ้นในอนาคต ซึ่งจะเป็นรถกลุ่มที่ค่อนข้างจะดูพรีเมียมขึ้นมานิดนึงกว่าคลาสตลาดทั่วๆไป ด้วยเครื่องยนต์และออพชันที่จัดมาแบบเต็มๆ..!!


       หลังจากที่ทาง Suzuki ได้เปิดตัว GIXXER 150 ออกมาเมื่อหลายเดือนก่อนในอินเดีย ซึ่งมีรูปลักษณ์ที่อิงมาจากรุ่นพี่พิกัด 1000cc. แต่ดูๆแล้วไม่น่าจะถูกตาถูกใจคนไทยมากนัก ด้วยดีไซต์และมีออพชันที่ดูจะด้อยกว่าคู่แข่งอย่าง CBR150R และ YZF-R15 อย่างเห็นได้ชัด 


       แต่ล่าสุดได้มีการเผยภาพ GSX-R250 จากนิตยสาร YoungMachine ของประเทศญี่ปุ่น ซึ่งเป็นรถแนวสปอร์ตแบบฟูลแฟริ่ง จุดเด่นที่ไฟหน้าคู่ทรงโฉบเฉี่ยวที่ใช้หลอดแบบ LED โช็คหน้าแบบเทเลสโคปิก โดยเบรกหน้าและหลังจะเป็นจานดิสก์ พร้อม ABS ป้องกันล้อล็อก ทรวดทรงด้านหน้าดูหล่อและลงตัวมากทีเดียว ถือเป็นการปลุกตำนาน R250 ที่เคยทำตลาดเมื่อครั้งในอดีต

       ถึงแม้ว่ายังไม่มีข้อมูลออกมามากนัก แต่คาดว่า GSX-R250 คันนี้จะใช้เครื่องยนต์ 2 สูบ ขนาดความจุ 250cc. ระบายความร้อนด้วยหม้อน้ำ แต่ในภาพเรายังเห็นอีกรุ่นข้างๆกัน เป็นไปได้ว่านั่นอาจจะเป็น GSX-R1000R โฉมเจเนอเรชันใหม่ ซึ่งจะมีดีไซต์ไปในทิศทางเดียวกัน ถือว่าเป็นอีกรุ่นที่น่าจับตามอง

       Suzuki GSX-R250 เป็นรุ่นที่น่าจะมีความเหมาะสมที่จะเข้าไทยอีกรุ่นหนึ่ง ด้วยรูปลักษณ์ที่เข้าตาและเครื่องยนต์ที่น่าจะเป็นที่พอใจ ทั้งนี้ก็ต้องติดตามความคืบหน้าต่อไป..!!

ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************
ที่มา tmcblog.com

วันศุกร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

หลุด!! วีดีโอโปรโมท Toyota Avanza Minorchange ก่อนเปิดตัวเดือนหน้าที่อินโดนีเซีย..!!

       ท่ามกลางกระแสความร้อนแรงของตลาดรถกลุ่ม MPV ในประเทศอินโดนีเซียถือว่าเป็นตลาดหลักสำคัญ หลังจากที่ฮอนด้าได้เปิดตัว Mobilio ไปเมื่อปีที่แล้วก็สร้างความคึกคักให้คลาสนี้ไม่เบา ดังนั้นโตโยต้าจึงต้องทำการปรับโฉมให้กับ Avanza เพื่อออกมาต่อกรแบบเต็มที่กันอีกครั้ง..!!




รุ่น veloz

      แต่แล้วก็มีภาพหลุด Avanza Minorchange ออกมาเมื่อเดือนก่อน และจนถึงวันนี้ก็ยังทยอยหลุดออกมาเรื่อยๆ ก่อนที่จะมีการเปิดตัวในต้นเดือนสิงหาคมนี้

       ล่าสุดได้มีการเผยวีดีโอโฆษณา Avanza ใหม่ ซึ่งคาดว่าน่าจะเป็นการเจาะล้วงข้อมูลมา จะเห็นได้จากภาพที่ไม่ค่อยชัดนัก Avanza ใหม่นี้จะมีการออกแบบให้ดูสปอร์ตมากขึ้นด้วยไฟหน้าทรงใหม่ และกระจังหน้าขนาดใหญ่ ส่วนไฟท้ายจะมีการเพิ่มแผงไฟบริเวณฝากระโปรงท้ายอีกด้วย





       ทั้งนี้ยังมีรุ่นที่คาดว่าจะเป็นรุ่นแยกย่อย หรือเวอร์ชัน veloz ที่มีความพรีเมียมกว่ารุ่นปกติ โดยจะมีความแตกต่างที่กระจังหน้าที่เล็กกว่า และช่องดักลมด้านล่างขนาดใหญ่กว่า ส่วนภายในไม่ต่างจากเดิมมาก และเครื่องยนต์ทั้งสองเวอร์ชันน่าจะเป็นขนาด 1.5 ลิตร พร้อมเกียร์ธรรมดาและอัตโนมัติให้เลือก

       กำหนดการเปิดตัวจะถูกจัดขึ้นในงาน GAIKINDO Indonesia International Auto Show 2015 ที่จะเกิดขึ้นในต้นเดือนสิงหาคมนี้ครับ ซึ่งต้องจับตามองให้ดีเพราะบ้านเราก็จะได้ใช้หน้าตาแบบนี้แหละ และน่าจะเข้าไทยในไตรมาสที่ 4 ของปีนี้ครับ..!!


ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่

************************************


ที่มา : AutonetMagz

วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

First Challenge : The New Ford Ranger Minorchange ปรับปรุงครั้งใหญ่ที่สมบูรณ์แบบมากขึ้น ครองบัลลังก์รถกระบะที่ดูแมนที่สุด..!!

       ตั้งแต่ผมทำเพจ MZ Crazy Cars มาเนี่ย ก็จะสังเกตได้ว่าเรื่องส่วนใหญ่ที่จะทำให้ชาวเฟสบุ๊คทะเลาะกันก็คือเรื่องข้อดีข้อเสียของรถที่ตัวเองใช้หรือชอบ บางคนมีความคิดและมองทุกอย่างอย่างมีเหตุมีผล (ซึ่งเป็นเรื่องที่ดีมาก) แต่กับบางคนเลือกที่จะใช้อคติหรือความเชื่อผิดๆ รวมถึงการ "ฟังเขามา" จนบางครั้งดูเหมือนกลายเป็นการใส่ร้ายทั้งๆที่รู้ไม่จริง แล้วก็สาดมันสมองใส่กันเมื่อมีเหตุให้ลุกขึ้นปกป้องค่ายที่ตนเองรัก เหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นทุกเพจ และเป็นสิ่งที่เราเห็นมาตลอด..!!




       ดั่งเช่นคู่กัดฟัดยอดเยี่ยมแห่งปีอย่าง Ford Ranger รถกระบะพันธุ์แกร่งที่มักจะถูกพาดพิงและนำไปต่อกรกับเจ้าตลาดอย่าง Hilux Vigo และ Revo ที่พึ่งเปิดตัวไปไม่นานนัก แต่ชาวโซเชียลไม่ได้แขวะกันเรื่องความเร็วความแรงของเครื่อง แต่จะไปโฟกัสกันที่ความแข็งแกร่งของโครงสร้างตัวถังซะมากกว่า ซึ่งเมื่อมีภาพอุบัติเหตุที่ไหนก็จะเอามาเม้าท์มอยซอยยิกๆกันแบบสนุกปาก แต่รู้ได้อย่างไรว่าแต่ละภาพมันเกิดอุบัติเหตุแบบเดียวกัน? ชนตำแหน่งเดียวกัน? มุมเดียวกัน? ความเร็วเท่ากัน? นี่คือสิ่งที่คนส่วนใหญ่ตาบอดมองไม่เห็น ถึงแม้ว่ารถแต่ละคันมีความหนาบางแข็งแกร่งไม่เท่ากัน แต่การดูแค่ภาพโดยที่ไม่มีข้อมูลและไม่วิเคราะห์ จะวิจารณ์ไปก็เปล่าประโยชน์

       อย่างที่กล่าวไปข้างต้น Ford Ranger Minorchange จึงเป็นรถที่น่าจับตามองมากที่สุดอีกหนึ่งรุ่น ซึ่งได้เปิดตัวไปเมื่อวันที่ 17 สิงหาคมที่ลานจอดรถอีซี่ พาร์ค ศูนย์ประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ และจัดงานทดลองขับพร้อมกันทั่วประเทศวันที่ 18-19 กรกฎาคม ผมเองก็ได้เดินทางไปร่วมงานเปิดตัวที่โชว์รูมแห่งหนึ่งในจังหวัดอุบลฯ 





       แต่ครั้งนี้ไม่เหมือนทุกๆครั้งที่ฟอร์ดเปิดตัวรถยนต์ของตัวเอง เพราะแต่ก่อนจะมีรถให้ลองขับแค่ไม่กี่คันหรือแทบไม่มีเลยเมื่อเปิดตัวไปช่วงแรกๆ ดั่งจะเห็นได้จากการเผยโฉมของ All New Ford Everest ที่งาน Motor Show เมื่อต้นปีที่ผ่านมา กระแสตอบรับจากลูกค้าและผู้สนใจก็มีมิไช่น้อย แต่รถมีมาโชว์อยู่แค่คันเดียว?? จนเกิดปรากฎการณ์การต่อคิวเพื่อดูรถเที่ยวละสิบคน สิบนาที?? โห!! หลายคนรู้สึกเอือมระอามากกับการตลาดแบบนี้ ถึงจะมาบางเหตุผลบอกว่า "แท่นหมุนโชว์รับน้ำหนักไม่ได้มาก" ก็เถอะ อย่างไรก็ตามนั่นถือว่าเป็นบทเรียนที่ฟอร์ดได้ทำการปรับปรุงและนำมาใช้กับ Ford Ranger Minorchange คันนี้

       การเปิดตัวเรนเจอร์ใหม่ ฟอร์ดเตรียมตัวมาดีด้วยการเร่งผลิตสินค้าเพื่อที่จะส่งให้ทันงานเปิดตัว และแต่ละดีลเลอร์ก็มาหลายคันด้วย มิหนำซ้ำยังมีการเปิดจองและรับรถในวันเปิดตัวกันเลยทีเดียว ไม่ต้องรอนานนนนนนนนเป็นเดือนนนนนนนนนเหมือนแต่ก่อนแล้ว มันแสดงให้เห็นว่าฟอร์ดใส่ใจกับการทำตลาดและจริงจังกับรถคันนี้มากขึ้นพอสมควรเลย เป็นสิ่งที่น่ายินดีกับอีกก้าวที่พัฒนาขึ้นมาและก็อยากให้รักษามาตรฐานแบบนี้ไว้และดีขึ้นๆในอนาคต เพราะนอกจากลูกค้าจะได้รับประโยชน์จากตรงนี้แล้ว ฟอร์ดเองก็จะได้รับประโยชน์จากลูกค้าเช่นกัน เป็นสิ่งที่ทุกค่ายควรคำนึงถึงและทำให้เป็นรูปธรรมที่สุด



       การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของ Ranger ถือว่ามีมากมายหลายจุด ทั้งภายนอกภายใน รายละเอียดเล็กๆน้อยๆ จนสามารถเรียกได้ว่าเป็นการ Big Minorchange ให้มีความสมบูรณ์และลงตัวมากที่สุด โดยยังคงแบ่งรุ่นออกเป็น 4 เกรด ได้แก่ XL, XLS, XLT และ Wildtrak ในแต่ละตัวจะมีความแตกต่างกันค่อนข้างชัดเจน และยังแอบมีของดีๆใส่ไว้ในรุ่นล่างๆด้วย

       สิ่งแรกแห่งการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้คือด้านหน้าของรถที่ไม่มีเค้าของรุ่นเดิมเลย ไฟหน้ารุ่น XL จะเป็นแบบธรรมดาฮาโลเจน พร้อมกระจังหน้าสีดำ และไฟเลี้ยวข้างตัวรถ ส่วนรุ่น XLS กระจังหน้าสีเทา ไฟตัดหมอกหน้าทรงกลม ไฟเบรคดวงที่ 3 ในรุ่น XLT จะหรูขึ้นอีกด้วยไฟหน้าโปรเจ็กเตอร์แบบเปิด-ปิดอัตโนมัติ กระจังหน้าโครเมียม และกระจกมองข้างปรับพับไฟฟ้าพร้อมไฟเลี้ยว และรุ่น Wildtrak ไฟตัดหมอกจะเป็นทรงสี่เหลี่ยม มีไฟใต้กระจกมองข้าง และชุดแต่งวายด์แทร็ก



       บันไดข้างเป็นอีกจุดที่ปรับมาดีกว่าของเดิมที่เป็นแบบท่อในครั้งก่อน ครั้งนี้เหมือนเอาของ BT-50 Pro มาใส่แต่ดูดีกว่า ซึ่งเวลาขึ้นหรือลงมันง่ายกว่าเดิมชัดเจน คือเหยียบยังไงก็เจออ่ะ 



       ล้ออัลลอยลายใหม่ทั้งหมด ในรุ่น XL จะได้ล้อกระทะขนาด 16 นิ้ว ไม่มีฝาครอบ รุ่น XLS ได้ล้ออัลลอยขนาด 16 นิ้ว รุ่น XLT ได้ล้ออัลอยลายหนาเตอะขนาด 17 นิ้ว และรุ่น Wildtrak ได้ล้ออัลลอยปัดเงาขนาด 18 นิ้ว ซึ่งจะให้ทุกรุ่น ไม่เว้นแม้แต่เครื่อง 2.2 ลิตรเหมือนรุ่นก่อนแล้ว




       การ์ดกันกระแทกที่อยู่ด้านล่างกันชนหน้าฟอร์ดก็ได้เอากลับมาอีกครั้ง ซึ่งให้มาทั้งตัวเตี้ยและยกสูงเลย มันจะเป็นแผ่นพลาสติกบางๆติดไว้เวลาเราปีนไต่อะไรสักอย่าง เจ้านี่แหละจะเป็นตัวกันครูดรวมถึงเป็นตัวตัดลมเวลาใช้ความเร็ว ซึ่งจะมีผลในเรื่องของหลักอากาศพลศาสตร์




       ฝากระโปรงหน้าออกแบบใหม่และยังให้โช๊คค้ำมาให้อีกด้วย ถือว่าเป็นครั้งแรกในกระบะบ้านเรา แต่ถ้าสังเกตดีๆจะเห็นว่าแผ่นกันความร้อนใต้ฝากระโปรงนั้นหายไป ที่จริงมันหายไปตั้งแต่โมเดลเก่า MY15 แล้วล่ะ แต่ก็ยังติดมาให้ในตัววายด์แทร็ค และรูฉีดน้ำฝนก็ถูกย้ายไปซ่อนไว้ใกล้ๆกับก้านปัดหน้าฝนแบบใหม่อีกเช่นกัน



       นอกจากนี้ Ranger ยังได้ติดตั้งไฟส่องท้ายกระบะมาให้ ซึ่งจะอยู่ในรุ่น XLT ซ่อนไว้ใต้ไฟเบรคดวงที่ 3 และรุ่น Wildtrak อยู่ใต้สปอร์ตบาร์ ส่วนรุ่น XL และ XLS ไม่มีมาให้ครับ



ฟอร์ดได้ตัดไฟตัดหมอกหลังในรุ่น WT 3.2 ลิตร ออกไปเรียบร้อยแล้ว..สรุปของเรนเจอร์ไม่มีแล้วนะครับ
ช่องต่อไฟ 12 โวลต์ บนพื้นปูกระบะท้าย  เฉพาะ WT

       ก่อนจะเข้าไปดูภายในขอแวะมาที่การเก็บรายละเอียดของบานประตูกันก่อนครับ เพราะผมสังเกตได้ว่าตอนปิดประตูจะมีความหนักแน่นขึ้นกว่าเดิมในแบบสไตล์รถยุโรป และลองไปปิดประตูรุ่นเดิมที่จอดข้างๆกันจะมีเสียงที่โปร่งกว่ากันอย่างเห็นได้ชัด

       มาถึงภายในของรุ่น XL ยังใช้แผงคอนโซลหน้าแบบเดิมอยู่ และไม่มีการตกแต่งวัสดุเงินแต่อย่างใด  มีชุดเครื่องเสียงที่สามารถเล่นวิทยุได้อย่างเดียว มีช่องต่อ AUX, ลำโพง 4 ตัว, ระบบปรับอากาศธรรมดา, เบาะผ้า, เบาะนั่งคนขับปรับตำแหน่งได้ 4 ทิศทาง, เซ็นทรัลล็อก และช่องต่อไฟ 12V จำนวน 2 จุด

       ส่วนรุ่น XLS ยังได้แผงคอนโซลแบบเดิมเช่นกัน แต่สิ่งที่จะได้เพิ่มเติมจากรุ่น XL ก็จะมีเครื่องเล่น CD/MP3 แบบแผ่นเดียวได้ ช่องต่อ AUX/USB, ลำโพง 6 ตัว, กระจกหน้าต่างปรับไฟฟ้าขึ้น-ลงอัตโนมัติเฉพาะด้านคนขับ, เบาะนั่งคนขับปรับตำแหน่งได้ 6 ทิศทาง, จอแสดงผลข้อมูลการขับขี่แบบดิจิตอล แถมยังมีระบบเชื่อมต่อบลูทูธ และระบบสั่งงานด้วยเสียง SYNC อีกด้วย เท่านั้นยังไม่พอยังให้พวงมาลัยแบบมัลติฟังก์ชันควบคุมเครื่องเสียง พร้อมระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ Cruise Control อีกต่างหาก เอ้ยไม่ธรรมดานะเนี่ย บางค่ายรุ่นกลางๆด้วยซ้ำถึงจะได้ออพชั่นนี้

       ต่อมาในรุ่น XLT จะมีความแต่ต่างจากสองรุ่นบนอย่างชัดเจน แผงคอนโซลถูกออกแบบใหม่เหมือนใน All New Everest รวมๆจะดูมีความหรูหรามากขึ้น โดยสิ่งที่ได้ต่อจากรุ่น XLS ได้แก่ จอแสดงผลข้อมูลอเนกประสงค์แบบสีขนาด 4 นิ้วบริเวณกลางคอนโซล, ระบบปัดน้ำฝนอัตโนมัติ, กระจกมองหลังแบบปรับลดแสงอัตโนมัติ, ก้านไฟเลี้ยวแบบใหม่ พร้อมย้ายมาอยู่ทางขวามือเหมือนรถญี่ปุ่น และเบาะนั่งและแผงประตูแบบผ้าพรีเมี่ยม 

       สุดท้ายรุ่น Wildtrak จะมีความพรีเมียมขึ้นมาอีกระดับด้วยการตกแต่งคอนโซลหน้าด้วยหนังพร้อมเดินตะเข็บสีส้มไว้อย่างสวยงาม (ในรุ่น Wildtrak 3.2 ลิตร เบาะนั่งคนขับปรับไฟฟ้า 8 ทิศทาง) เพิ่มช่องต่อ USB 2 จุด, ช่องต่อ SD Card, ระบบ WiFi Hotspot และหน้าจอสีแบบสัมผัสขนาด 8 นิ้ว ดังนั้นใครอยากได้จอก็ต้องมาเล่นรุ่น Wildtrak สถานเดียว ข่าวร้ายอีกอย่างคือ "ไม่มีระบบนำทาง และเล่น DVD ไม่ได้นะครับ" จบข่าว เง้อ!!! น่าจะใส่มาให้! แต่ยังมีไฟตกแต่งภายในห้องโดยสารเปลี่นยนได้ 7 สี, พวงมาลัย หัวเกียร์ แผงประตูเย็บหนัง, ระบบปรับอากาศแบบอัตโนมัติแยกอิสระซ้าย-ขวา, เบาะนั่งหนังผสมผ้า, กล่องทำความเย็น, ช่องต่อไฟ 12V 2 จุด และช่องต่อไฟ 230V 1 จุด


 รุ่น Wildtrak
 มาตรวัดรุ่น Wildtrak
 รุ่น Wildtrak 

  รุ่น Wildtrak
ปุ่มกดล็อคประตู
หน้าตาชุดเครื่องเสียงในรุ่น XLT ปุ่มเยอะตามสไตล์
ที่วางของในรุ่น XLT รุ่น WT ไม่มีครับ
มาตรวัดรุ่น XLT

       เบาะนั่งผ้าแบบพรีเมียมเมื่อเทียบกับเบาะผ้าตัวเดิม จะรู้สึกได้เลยว่ามีความนุ่มกว่ากันแบบชัดเจน! เพราะตัวเดิมจะแข็งแบบนั่งไม่สบายตัวเท่าไหร่ รวมไปถึงเบาะหนังในตัว Wildtrak เช่นกัน มีความนุ่มกว่ากันเมื่อลองนั่งเทียบ แต่ส่วนตัวผมรู้สึกว่าเบาะรุ่นวายด์แทร็กมันมีผ้าแซมมากไป มันเลยลดความหรูหราไปพอสมควร แต่ก็เข้าใจว่าเขายังต้องการให้ภายในดูลุยๆเพื่อสอดคล้องกับการดีไซต์ภายนอก ส่วนก็แล้วแต่คนชอบครับ เพราะไม่ใช่ประเด็นสำคัญอะไร

       โดยรวมแล้วฟอร์ดแบ่งรุ่นย่อยและให้ Options มาแบบสมเหตุสมผล ถึงแม้บางรุ่นยังได้ใช้คอนโซลหน้าแบบเดิม แต่สำหรับผมยังรับได้นะเพราะมันยังสวยอยู่ และการให้ความสะดวกสบายอย่างระบบสั่งการด้วยเสียง SYNC และระบบควบคุมความเร็วอัตโนมัติ ทั้งๆที่บางค่ายในตัวแพงๆยังไม่ใส่มาให้ จุดนี้ต้องชมทางฟอร์ดที่ให้มาและเป็นอีกตัวเลือกที่คุ้มค่า





ขุมพลังของ Ranger Minorchange มีด้วยกันทั้งหมด 2 เครื่องยนต์ 3 แบบ ได้แก่

  • เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 125 แรงม้า ที่ 3,700 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 320 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-1,700 รอบต่อนาที (ในรุ่น XL และ XLS)
  • เครื่องยนต์ดีเซล 2.2 ลิตร 4 สูบ แถวเรียง 16 วาล์ว VG เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 160 แรงม้า ที่ 3,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 385 นิวตัน-เมตร ที่ 1,600-2,600 รอบต่อนาที (ในรุ่น XLT และ Wildtrak)
  • เครื่องยนต์ดีเซล 3.2 ลิตร 5 สูบ แถวเรียง 20 วาล์ว VG เทอร์โบอินเตอร์คูลเลอร์ ให้กำลังสูงสุด 200 แรงม้า ที่ 3,200 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 470 นิวตัน-เมตร ที่ 1,750-2,500 รอบต่อนาที (ในรุ่น XLT และ Wildtrak)...ทั้งนี้ฟอร์ดได้ทำการตัดเครื่องยนต์เบนซิน 2.5 ลิตรออกไปเรียบร้อยแล้วครับ
       ส่วนระบบส่งกำลังมีทั้งเกียร์ธรรมดา 6 สปีดที่มีการปรับเซ็ตให้การเข้าเกียร์นุ่มกว่าเดิม และเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด นอกจากนี้ในรุ่น XLT ขึ้นไประบบพวงมาลัยได้เปลี่ยนมาใช้แบบไฟฟ้า EPAS เป็นที่เรียบร้อยแล้วล่ะครับ



ระบบความปลอดภัยก็ให้เป็นอุปกรณ์มาตรฐานอย่างครบครัน ดังนี้
รุ่น XL สิ่งที่จะได้คือ
  • ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
  • เข็มขัดนิรภัยคู่หน้าแบบ3 จุด พร้อมระบบดึงกลับและผ่อนแรงอัตโนมัติ
  • ระบบกุญแจ Immobilizer

รุ่น XLS สิ่งที่ได้เพิ่มจากรุ่น XL คือ
  • ระบบเบรกป้องกันล้อล็อค ABS
  • ระบบกระจายแรงเบรก EBD
  • แผงไล่ฝ้ากระจกหลัง
  • เข็มขัดนิรภัยแบบ 3 จุด สำหรับผู้โดยสารแถวหลังทั้ง 3 ที่นั่ง (ในรุ่น 4 ประตู)
  • ผนักพิงศีรษะสำหรับผู้โดยสารแถวหลังทั้ง 3 ที่นั่ง (ในรุ่น 4 ประตู)
  • จุดยึดสำหรับเบาะนั่งเด็ก (ในรุ่น 4 ประตู)
รุ่น XLT สิ่งที่ได้เพิ่มจากรุ่น XLS คือ
  • สัญญาณเตือนระยะถอยหลัง

รุ่น Wildtrak สิ่งที่ได้เพิ่มจากรุ่น XLT คือ
  • ถุงลมนิรภัยด้านข้าง และม่านถุงลมนิรภัย 
  • ระบบควบคุมการทรงตัว ESP
  • ระบบป้องกันการลื่นไถล TCS
  • ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน HSA
  • ระบบควบคุมการทรงตัวขณะลากจูง TSC
  • ระบบควบคุมความเร็วขณะลงเขา HDC
  • ระบบลดความเสี่ยงจากการพลิกคว่ำ ROM
  • ระบบไฟฉุกเฉินอัตโนมัติเมื่อเบรกกระทันหัน ESS
  • กล้องมองภาพขณะถอยจอด
  • สัญญาณเตือนคาดเข็มขัดนิรภัย
  • สัญญาณกันขโมย
  • สัญญาณเตือนระยะจอดด้านหน้า (ในรุ่น Wildtrak 3.2 ลิตร)
Ford Ranger Minorchange ใหม่ มีสีให้เลือก ดังนี้
สีขาว Cool White
สีดำ Black Mica
สีเงิน Aluminum Metallic
สีเทา Metropolitan Gray
สีแดง True Red
สีน้ำเงิน Aurora Blue
สีฟ้า Blue Reflex
และสีพิเศษ สีส้ม Pride Orange สำหรับรุ่น Wildtrak เท่านั้น


ราคาของ Ford Ranger Minorchange ใหม่ มีทั้งหมดดังนี้
Standard Cab ตอนเดียว

2.2L LR ราคา 549,000 บาท
2.2L SWB HR MT ราคา 575,000 บาท
3.2L SWB 4X4 w/TMS AT ราคา 749,000 บาท
-----------------------------------------------
Open Cab ตอนครึ่ง
2.2L XL MT LR ราคา 599,000 บาท
2.2L XLS MT LR ราคา 659,000 บาท
2.2L XLS MT HR ราคา 699,000 บาท
2.2L XLT MT HR ราคา 749,000 บาท
2.2L XLT AT HR ราคา 789,000 บาท
2.2L 4X4 XLT MT ราคา 809,000 บาท
3.2L 4X4 XLT MT ราคา 859,000 บาท
-------------------------------------------------
Double Cab สองตอน
2.2L XLS MT HR ราคา 789,000 บาท
2.2L XLT MT HR ราคา 829,000 บาท
2.2L XLT AT HR ราคา 869,000 บาท
2.2L 4X4 XLT MT ราคา 909,000 บาท
3.2L 4X4 XLT AT ราคา 1,019,000 บาท
--------------------------------------------------
Double Cab Wildtrak
2.2L Wildtrak MT ราคา 925,000 บาท
2.2L Wildtrak AT ราคา 965,000 บาท
2.2L Wildtrak 4X4 AT ราคา 1,070,000 บาท
3.2L Wildtrak 4X4 AT ราคา 1,139,000 บาท (Top of the line)

*รุ่น 3.2L Wildtrak 4X4 AT + Roller Shutter ฝาปิดกระบะท้ายราคาพิเศษ 65,000 (รวมติดตั้งเฉพาะ 17-19 ก.ค.นี้) ราคา 1,204,000 บาท*





       The New Ford Ranger การมาครั้งนี้ถึงจะเป็นเพียงแค่การ Minorchange แต่มีอะไรมากมายที่เปลี่ยนแปลงไปในทางที่ดี นอกจากจะเป็นรถกระบะที่ดูแมนที่สุดแล้ว การใส่ใจในรายละเอียดรวมถึงวัสดุที่ใช้ก็ถือว่าไม่น้อยหน้าเจ้าไหน และการที่เจ้าตลาด Toyota Hilux Revo ได้นำเอาฟอร์ด เรนเจอร์ และอีกหลายๆรุ่นไปเป็น Benchmark หรือตัวเปรียบเทียบเพื่อไปพัฒนาและศึกษานั้น ทำให้ฟอร์ดจะต้องทำการบ้านอย่างหนักเพื่อดันตัวเองหนีห่างออกไปอีกให้ได้ การที่รีโวเปิดตัวพร้อมราคาไปก่อนนั้น ฟอร์ดจึงมีเวลาที่จะจัดสเปคเพื่อจะให้ชนหรือเหนือกว่าในราคารุ่นท็อปที่เท่ากัน 1.139 ล้านบาท ถึงแม้ว่าทั้งคู่จะไม่ใช่คู่แข่งทางยอดขายกันโดยตรง แต่เชื่อว่า Ford Ranger จะต้องแย่งยอดมาจาก Revo พอสมควร ต่อจากนี้ก็จะมี Mazda BT-50 Pro MC และ Isuzu D-Max MC ชูจุดเด่นที่เครื่องยนต์ใหม่ ก็ยิ่งจะเพิ่มความเข้มข้นขึ้นไปอีก...!!


ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่

**************************************



วีดีโอรุ่น XLT
วีดีโอรุ่น Wildtrak