วันเสาร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2558

First Challenge : All New Mitsubishi Pajero Sport ดีไซต์เด่น เน้นออพชั่น หั่นราคาเป็นมิตร!!


       รถกลุ่มเอสยูวีที่ใช้พื้นฐานมาจากรถกระบะอย่างที่บ้านเราเรียกกันว่า PPV ถือว่ามีกระแสตอบรับค่อนข้างดี หลังจากที่แต่ละค่ายทยอยเปิดตัวและพร้อมจำหน่ายในช่วงเวลาใกล้เคียงกัน เริ่มจาก Ford Everest กับ Toyota Fortuner ที่ตั้งราคารุ่นท็อปสุดไว้เท่ากันที่ 1,599,000 บาท การแข่งขันจึงมีความเข้มข้นมากขึ้น บวกกับเศรษฐกิจยานยนต์ช่วงนี้ยังหดตัวอย่างต่อเนื่อง ทำให้ Mitsubishi ที่กำลังจะเปิดตัว All New Pajero Sport ต้องเอาสิ่งเหล่านี้กลับไปทำการบ้านให้ดีเพื่อที่จะสามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้

       Mitsubishi ได้ทำการเปิดตัว All New Pajero Sport ในงาน Big Motor Sale ที่ผ่านมาอย่างยิ่งใหญ่ และที่มากไปกว่านั้นคือการอัด Options และราคาในรุ่น Top of the line ถูกกว่าคู่แข่งใหม่ทั้งสองหลักแสนบาท พร้อมฟรีชุดแต่งพิเศษรอบคัน ซึ่งในงานมิตซูบิชิยังได้ทำป้ายเปรียบเทียบสเปครถกลุ่ม PPV เพื่อเป็นข้อมูลในการตัดสินใจของลูกค้าได้เร็วยิ่งขึ้น แต่จุดเด่นที่ทำให้รถคันนี้มีกระแสตอบรับที่ดีเกินคาดจะมีอะไรบ้างนั้น เชิญเลื่อนลงอ่านได้ ณ บัดนี้



All New Mitsubishi Pajero Sport จะมีทั้งหมด 3 รุ่นย่อย ได้แก่
- รุ่น 2.4 GLS-LTD. ราคา 1,138,000 บาท
- รุ่น 2.4 GT ราคา 1,250,000 บาท
- รุ่น 2.4 GT-Premium 4WD ราคา 1,450,000 บาท
(แต่ถ้าจองในช่วงวันที่ 1 สิงหาคม - 30 กันยายน 2558 จะได้ราคาแนะนำเพียง 1,399,000 บาทเท่านั้น)

เนื่องจาก All New Pajero Sport ต้องเปิดตัวให้ทันงาน Big Motor Sale จึงยังไม่มีรถให้ทดลองขับตามโชว์รูม ด้วยเหตุนี้มิตซูบิชิจึงได้จัดงาน RoadShow ที่จะเดินสายไปโชว์ตัวทั่วประเทศตั้งแต่วันที่ 18 สิงหาคม ถึง 19 ตุลาคม (เช็คตาราง RoadShow ได้ที่นี่) ซึ่งผมเองก็ต้องรอชมรถคันจริงครั้งแรกในงานนี้เช่นกัน ที่อุบลราชธานีจะจัดวันที่ 9-15 กันยายน ที่สุนีย์ ทาวเวอร์ ผมจึงไม่พลาดที่จะไปยลโฉมน้องใหม่แห่ง PPV คันนี้

หลายคนรวมถึงผมคงได้เห็นภาพกันจนชินตาแล้ว แต่เมื่อเห็นตัวจริงแน่นอนว่ามันต้องแลดูมิติกว่า ซึ่งในช่วงวันงานมีผู้คนให้ความสนใจเป็นอย่างมาก โดยเฉพาะวันหยุดเสาร์และอาทิตย์ แทบจะไม่มีพื้นที่ให้ผมได้เก็บภาพหรือสัมผัสอย่างใกล้ชิดเท่าที่ควร เลยแก้ปัญหาด้วยการเดินทางไปดู(เกือบ)ทุกวันซะเลย ฮ่าๆ นั่นจึงทำให้ผมได้ข้อมูลบางส่วนและความรู้สึกที่พอจะมาเล่าให้พี่น้องได้รับรู้กัน โดยวันแรกเขาได้นำรุ่น GLS-LTD. มาโชว์คันเดียว ก่อนที่ตัวท็อปจะตามมาในวันถัดไป และตัวที่มีชุดตกแต่งรอบคันจะมาวันสุดท้าย แต่ผมไม่ได้ไปดูเพราะวันนั้นฝนตกค่อนข้างหนัก

ขอย้อนกลับไปเมื่อตอนที่ All New Mitsubishi Triton เปิดตัวครั้งแรก จะมีดีไซต์ที่เรียกได้ว่าคนละโลกกับตัวต้นแบบ GR-HEV Concept อย่างสิ้นเชิง ทำให้เรานึกไม่ออกว่า All New Pajero Sport ที่ใช้พื้นฐานจาก Triton นั้นจะมีหน้าตาออกมาเป็นเช่นไร

แต่เราก็เริ่มที่จะเห็นเค้าโครงเมื่อ Mitsubishi Outlander รถเอสยูวีรุ่นพี่เผยโฉมไมเนอเชนจ์ออกมาโดยมีการเปลี่ยน Design Language งานออกแบบใหม่ ที่เรียกว่า “Dynamic Shield” ซึ่งมิตซูบิชิบอกว่า “จะเป็นการดีไซต์ที่ต้องสร้างความน่าจดจำให้แก่ตัวรถได้ดี” หรือพูดง่ายคือรถของมิตซูบิชิในอนาคตจะมีการดีไซต์ที่คล้ายคลึงกัน แต่ก็ไม่เหมือนกันแบบเป้ะๆ “เพราะจะเน้นความเหมาะสมให้แก่รถรุ่นนั้นๆมากกว่า” Mitsubishi Outlander Minorchange จึงเป็นรถคันแรกที่ได้ใช้ Design Language ใหม่ และแน่นอนว่า All New Mitsubishi Pajero Sport จะต้องมีหน้าตาคล้าย Outlander (ถ้าสังเกตดูช่วงหลังๆมานี้จะเห็นค่ายรถญี่ปุ่นหลายค่ายเริ่มที่จะเปลี่ยน Theme งานออกแบบใหม่เช่นกัน)




ด้านหน้าของ All New Pajero Sport จะมีดีไซต์ที่ค่อนข้างแปลกตากว่ารถทั่วๆไป แต่แปลกในแบบของการสร้างความโดดเด่นให้ตัวเอง กระจังหน้าลายเส้นโครเมียมที่มีโลโก้เพชรสามเม็ดเด่นออกมาจากพื้นหลังสีดำ ต่างจาก Triton ที่เป็นโครเมียมทั้งแถบ. และดูกลมกลืนไปกับไฟหน้าโปรเจคเตอร์แบบ Bi-LED พร้อมระบบปรับระดับลำแสงไฟหน้าอัตโนมัติ ในโคมจะมีไฟส่องสว่างตอนกลางวันแบบ Spectrum LED ที่จะเปล่งแสงเป็นแนวยาวนวลขาวราวกับใช้ผงหอมศรีจันทร์ ต่างจากรถค่ายอื่นที่จะเป็นเม็ดๆเรียงต่อกัน ซึ่งจะไปสิงสถิตย์ในรุ่น GT และ GT-Premium ส่วนรุ่น GLS-LTD. จะได้ไฟหน้าเลนส์โปรเจคเตอร์หลอดฮาโลเจน และไม่มีไฟ Daytime Running Lights มาให้ เส้นสายโครเมียมกรีดจากไฟหน้าลงมาหาไฟตัดหมอก จุดนี้เองที่ทำให้หน้ารถเกิดความโดดเด่น


ฝากระโปรงหน้าเท่าที่ดูจะเป็นพาร์ทเดียวกันกับ All New Triton แต่กระจกมองข้างจะคนละทรง



ซุ้มล้อขนาดใหญ่แบบชิ้นเดียวกับตัวรถ ต่างจากไทรตันที่ยังเป็นพลาสติกแปะ แต่เส้นสายข้างตัวรถที่ลากมาจากไฟหน้า และไฟท้ายเข้าหากลางลำยังเป็นทำนองเดียวกับ Triton อยู่ บวกกับขอบกระจกส่วนท้ายจะเฉียงขึ้นทำให้รถดูปราดเปรียวโฉบเฉี่ยว แต่ท้ายจะดูยาวใหญ่ไปนิด อาจจะดูห้อยๆแต่ก็น่าจะมีเนื้อที่จุของได้พอสมควร


กรอบกระจกจะเสริมด้วยแถบโครเมียมที่ลากมาจากหูกระจกมองข้างจนมาสิ้นสุดที่กระจกบานที่สาม ให้ทั้งความสวยงามและหรูหรา


ล้ออัลลอยขนาด 18 นิ้ว มีลายเดียว แต่ในรุ่น GT-Premium จะเป็นสีดำและขัดเงาให้ดูดีกว่า ขนาดยาง 265/60 R18


บันไดข้างขนาดใหญ่เหยียบได้เต็มเท้า วางไว้สอดรับกับชิ้นสเกิร์ตข้างไว้ลงตัวมากครับ

บั้นท้ายใหญ่โต และสะดุดตาไปกับไฟท้าย Spectrum LED ทรงแปลก(อีกแล้ว) คือจะมีการโอบไปด้านข้างตัวรถและหลังจากนั้นไฟเบรคจะวิ่งลงด้านล่าง แทนที่จะวิ่งขึ้นด้านบนเหมือนรถทั่วไป โดยไฟเบรคจะเป็นเส้นคู่รูปเลข 7 พร้อมแถบสะท้อนแสงไว้ด้านล่างอย่างต่อเนื่องกัน



ฝาท้ายไม่ได้เปิด-ปิดอัตโนมัติเหมือนอย่าง Everest และ Fortuner แถมยังได้รับอานิสงส์จากรุ่นเดิมที่ฝาท้ายแทบจะเสมอไปกับกันชนหลัง สิ่งที่น่าห่วงก็คือหากมีรถมาจิ้มตูดเราก็อาจจะเสียหายถึงฝากระโปรงได้ง่าย และรุ่นใหม่ไฟเบรคยังวิ่งลงด้านล่างก็ยิ่งสร้างความพะวงเข้าไปอีก แต่ก็อย่างว่า ในเมื่ออยากแปลก อย่างเด่นแบบไม่เหมือนใคร ก็ต้องยอมแลกกัน แต่เรื่องแบบนี้มันก็เป็นสิ่งที่คาดเดาไม่ได้ มันจะเกิดก็คือเกิด เราจะคิดมากไปทำไมเนี่ย?

สิ่งหนึ่งที่ยังรู้สึกว่าขาดตกหายไปคือสปอยเลอร์หลังไม่มีมาให้ ทำให้ดูโล่งๆไปนิด แต่ก็ยังมีชุดแต่งรองรับไว้อยู่แล้ว (ใส่มาให้แต่แรกก็จบอ่ะนะ) ส่วนราวหลังคาจะมีให้เฉพาะรุ่น GT และ GT-Premium เท่านั้น

โดยรวมถือว่าเป็นรถอเนกประสงค์พื้นฐานปิกอัพที่มีความแตกต่างกับ Triton เป็นอย่างมาก การใช้ดีไซต์แบบ Dynamic Shield นั้นสร้างความโดดเด่นและแตกต่างได้เป็นอย่างดี จนเรียกได้ว่าเป็นรถอเนกประสงค์ PPV ที่ดูล้ำยุคล้ำสมัยที่สุดในเวลานี้ก็ว่าได้


มิติตัวรถเมื่อเทียบกับ Pajero Sport รุ่นเดิมแทบจะไม่ต่างกัน เพราะการพัฒนายังใช้พื้นฐานแชสซีส์เดิม (ไทรตันก็เช่นกัน) ดังนั้นตัวรถจึงไม่ใหญ่ไปกว่าเดิมนัก มีเพียงความยาวที่เพิ่มขึ้น 90 มิลลิเมตร ส่วนระยะฐานล้อยังเท่าเดิม และความสูงถ้าหากรวมราวหลังคาแล้ว รุ่นเดิมจะมีความสูง 1,840 มม. รุ่นใหม่สูง 1,805 มม. น้ำหนักรถตัวท็อป 4WD รุ่นเดิม 2,055 กิโลกรัม รุ่นใหม่ 2,085 กิโลกรัม


ประตูคู่หน้าเปิดได้กว้างขวางเข้า-ออกได้สะดวกและไม่หนักมากนัก ปิดได้แน่นดี เท้าเหยียบบันไดพร้อมโหนมือจับบริเวณเสา A ที่มีมาให้ทั้งสองฝั่ง พอขึ้นไปนั่งหลังพวงมาลัยแล้วจะรู้สึกได้ถึงความหรูหราที่กำลังโอบล้อมตัวคุณอยู่ อย่างแรกที่สะใจคือพวงมาลัย เพราะเขาได้โยนของไทรตันที่ใครๆก็บอกว่า “นี่มันพวงมาลัยมิราจชัดๆ” ออกไป แล้วไปยืมของรุ่นพี่ Outlander PHEV มาใส่แทน บอกเลยว่าคุณคิดถูกแล้วล่ะ เพราะมันสวยงามมากกก ไม่ใช่ของ Triton ไม่สวยนะ แต่อันนี้สวยกว่า!!! และถ้าสังเกตดีๆแถบสีเงินบนพวงมาลัยของ Pajero Sport มันจะไปคล้ายกับเส้นสายด้านหน้ารถนั่นแหละครับ






บริเวณกลางคอนโซลหน้าจะติดตั้งหน้าจอสัมผัสขนาด 7 นิ้ว ระบบปรับอากาศนั้นจะเป็นแบบอัตโนมัติ และแยกฝั่งซ้าย-ขวาได้เฉพาะรุ่น GT และ GT-Premium โดยที่จะมีแถบตกแต่งสีเงินครอบลงมาถึงฐานเกียร์ที่มีการยกสูงขึ้นมา คันเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด จับกระชับมือดีครับ ด้านล่างจะเป็นที่อยู่ของเบรคมือไฟฟ้า ส่วนรุ่น 4WD GT-Premium จะมีสวิตส์ควบคุมระบบขับเคลื่อนเพิ่มเข้ามา ส่วน
ปุ่มสตาร์ทเครื่องยนต์ พร้อมปุ่มปรับระดับทิศทางของกระจกมองข้างจะอยู่ใต้ช่องแอร์ฝั่งขวา

ลักษณะของคอนโซลเกียร์ที่ยกสูงขึ้นมานั้นจะคล้ายกับของ Toyota Prius โดยจะมีการเจาะเป็นช่องเล็กๆทั้งสองข้างเผื่อได้วางของเล็กๆน้อยๆ ซึ่งฝั่งขวานั้นเหมือนจะมีพลาสติกสีดำปิดช่องอะไรไว้สักอย่าง อันนี้ไม่แน่ใจ แต่ก็น่าจะสามารถเป็นช่องไว้เดินสายไฟได้ หากต้องการเพิ่มอุปกรณ์เสริมเติมแต่งเข้ามา และอย่างที่บอกว่าคอนโซลเกียร์ยกสูงขึ้น จึงทำให้บรรยากาศของผู้ขับขี่ถูกโอบล้อมไว้อย่างดี แต่ถ้าใครขายาว เข่าซ้ายก็อาจจะไปติดกับพลาสติกสีเงินที่ลากจากช่องแอร์ลงมานั่นแหละครับ




บริเวณคอนโซลหน้าถึงแม้จะให้ความหรูหรามากกว่า All New Triton อยู่พอสมควร แต่รู้สึกจะมีส่วนที่น่าขัดใจอยู่นิดๆ สิ่งที่อยากให้เป็นคือน่าจะมีความหรูหรามากกว่านี้ จะเห็นได้จากคอนโซลฝั่งซ้ายที่ยังดูไม่ลงตัวเท่าไหร่แม้จะมีการเพิ่มแถบตกแต่งมาแล้วก็ตาม แถมยังไม่มีการบุวัสดุนุ่มมาให้แม้แต่น้อย ปุ่มควบคุมใต้จอสัมผัสก็รู้สึกธรรมดาไปนิด รวมถึงชุดมาตรวัดที่มองเห็นได้ชัดเจนดี แต่ไม่ค่อยจะมีสีสันหรือลวดลายอะไรที่ทำให้รู้สึกว่ากำลังขับรถเอสยูวีราคาหลักล้าน คือทำออกมาในแบบที่เรียบง่ายคล้าย Triton ซึ่งในจุดนี้รถกระบะหลายค่ายถือว่ามีความแพรวพราวกว่า แต่ถ้ามองโดยรวมเจ้าคันนี้ก็ให้ความหรูหราและดูดีมีระดับที่ฟัดเหวี่ยงกับคู่แข่งได้ ถึงแม้จะมีบางจุดที่ขัดตาขัดใจนิดๆ แต่ก็ไม่ใด้เป็นปัญหาใหญ่โตอะไรครับ



บริเวณแผงประตูเป็นอีกจุดที่หลายคนอยากรู้ว่า “ไอ้มือจับสีเทาๆนั่นมันจะเกะกะไหม?” ถ้าเอาการจับก่อนนะ มันจับดี มันใช้ดี ใหญ่โตถนัดมือแน่นอนตอนเปิดหรือปิดประตู ถ้าจะพักวางแขนสำหรับผมก็ยังรับได้ แต่ก็เริ่มติดๆบ้างนิดหน่อย แต่ถ้าต้องเอานิ้วไปกดปุ่มปรับกระจกหน้าต่างล่ะก็ หึหึ ติด!! เกะกะ!! ทันที!!




แต่เขาก็มีการบุวัสดุหนังไว้ตรงที่เท้าแขนแบบโชว์และซ่อนตะเข็บ นุ่มดีมากครับ ด้านล่างสามารถใส่ขวดน้ำได้หนึ่งขวดกับวางหนังสือวางแผนที่ได้ ที่บังแดดฝั่งคนขับและผู้โดยสารตอนหน้าจะมีกระจกแต่งหน้ามาให้ แต่ไม่ยักกะมีไฟส่องแม้แต่ดวงเดียว ต้องจำใจอาศัยไฟส่องแผนที่แทน

เบาะนั่ง ในรุ่น GLS-LTD. จะเป็นผ้าสีดำ ส่วนนอกนั้นจะหุ้มหนังโทนสีดำ แต่ลักษณะของเบาะจะเป็นคล้ายๆนวมเหมือนเรานั่งโซฟาอย่างไรอย่างนั้น ตัวเบาะจึงมีความนุ่ม โอบกระชับลำตัวได้ดีครับ มีจุด Support แผ่นหลังทำให้ไม่เมื่อยยามเดินทางไกล เบาะรองนั่งยาวกว่านี้อีกนิดจะดีมากๆ พนักพิงศีรษะไม่ดันหัว และเบาะสามารถปรับไฟฟ้าได้ถึง 8 ทิศทาง เฉพาะรุ่น GT และ GT-Premium




ก่อนจะก้าวขึ้นไปนั่งเบาะแถว 2 จะเห็นราวจับตรงเสา B ติดตั้งไว้ให้ ตัวเบาะหนังแบบเดียวกันทั้งคัน นั่งได้สบายครับ รองรับแผ่นหลังได้ดีมากๆ เบาะแบ่งพับแบบ 60:40 พร้อมปรับเอนได้ พื้นที่วางขาเหลือเฟือ พื้นที่เหนือศีรษะมีพอสมควร มีมากกว่า Everest และ Fortuner ด้านหลังคอนโซลกลางระหว่างเบาะคู่หน้าก็ปาดลงมาแบบเรียบๆและไม่มีช่องจ่ายไฟเหมือนสองรุ่นดังกล่าว

เงยหน้าขึ้นบนเพดานจะเห็นจอแบบ Wide Screen พร้อมเครื่องเล่นดีวีดีและรีโมทคอนโทรลมาให้ครบสรรพ แถมยังมีชุดหูฟังอินฟราเรดให้มาถึง 2 ชุด แต่ก็จะมีเฉพาะรุ่น GT และ GT-Premium เท่านั้นนะจ้ะ ส่วนลำโพงจะมีทั้งหมด 6 ตัว รุ่น GLS-LTD. มีเพียง 4 ตัวครับ

แผงประตูบานที่ 2 จะไม่มีมือจับอันเบอเริ่มเทิ่มเหมือนบานหน้า แลดูอาจจะลดความหรูหราลงไป แต่ถ้าใช้งานมันก็ย่อมสะดวกกว่าในแง่การวางแขนได้แบบเต็มท่อน และใช้นิ้วกดปุ่มเลื่อนกระจกหน้าต่างได้ดีกว่าไม่ต้องงอข้อมือ


กลางเบาะแถวที่สองจะมีที่วางแขนมาให้ ซึ่งจะมีที่วางแก้วมาให้ด้วย แต่มันจะสั้นและชันลง ทำให้เราวางแขนได้ไม่ถนัดนัก เรียกว่าเป็นที่วางศอกแทนดีกว่าเน้าะ

พับเบาะแถวสองลงมาจะพอมีพื้นที่ให้สอดตัวเข้าไปนั่งเบาะแถวสามได้ พื้นที่ถือว่ามีให้พอตัว ผมสูง 178 เซนติเมตร นั่งชันเข่า ระยะห่างจากเบาะแถวสองมีนิดๆ และหัวผมแตะเพดานพอดี ซุ้มล้อที่นูนขึ้นมาทั้งสองข้างใช้เท้าแขนได้ ฝั่งซ้ายไม่มีอะไร แต่ฝั่งขวาจะมีที่วางขวดน้ำได้ 2 ขวด แอร์แถวสองและสามให้มาครบ พร้อมชุดปุ่มควบคุมระดับแปะไว้บนเพดาน






เปิดฝาท้ายขึ้นจะมีเนื้อที่วางของเล็กน้อย พื้นจะยกสูงขึ้นเพราะต้องการให้เบาะแถว 2 และ 3 สามารถพับได้ราบเรียบไปได้ แต่พื้นที่ถูกยกก็จะซ่อนช่องเก็บของข้างล่างเมื่อเปิดแผ่นปิดออกจะเห็น (เสียดายไม่ได้ถ่ายภาพมา)

เปิดฝากระโปรงหน้าขึ้น(ไม่มีโช้คค้ำ) จะเห็นแผ่นกันความร้อนแปะมาให้ ซุกซ่อนขุมพลังที่จะมีเพียงขนาดเดียวและเป็นตัวเดียวกันกับ All New Triton เครื่องยนต์รหัส 4N15 คลีนดีเซล Mivec 4 สูบ แถวเรียง DOHC 16 วาล์ว พร้อมวาล์วไอดีแปรผัน เทอร์โบแปรผัน อินเตอร์คูลเลอร์ ขนาดความจุกระบอกสูบ 2,442 ซีซี ที่ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้า ที่ 3,500 รอบต่อนาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบต่อนาที (ซึ่งเครื่องตัวนี้มิตซูบิชิเครมว่ามีการปล่อยค่ามลพิษที่ต่ำกว่า 200 กรัม/กิโลเมตร จะเป็นผลดีต่อการใช้โครงสร้างภาษีใหม่) ส่งกำลังผ่านเกียร์อัตโนมัติ 8 สปีด พร้อมแป้นแพดเดิลชิฟท์

พวงมาลัยแบบแร็คแอนด์พิเนียน พร้อมเพาเวอร์ผ่อนแรง ระบบกันสะเทือนหน้าอิสระแบบดับเบิ้ลวิชโบน คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังแบบทรีลิงค์ ทอร์คอาร์ม คอยล์สปริง พร้อมเหล็กกันโคลง ระบบเบรคให้เป็นดิสก์มาทั้ง 4 ล้อ




ระบบความปลอดภัยที่เป็นเทคโนโลยีใหม่ของ All New Mitsubishi Pajero Sport ได้แก่..

- ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรงพร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM-Forward Collision Mitigation System) โดยหลักการทำงานจะใช้เรด้าหน้ารถประเมินระยะห่างจากรถคันหน้า หากพบว่ามีความเสี่ยงที่จะชนรถคันหน้าในช่องทางเดียวกัน ระบบจะทำการเตือนด้วยเสียงเพื่อให้เบรกรถ พร้อมเพิ่มแรงดันน้ำมันเบรก แต่ถ้าหากยังไม่มีการเบรคเกิดขึ้น ระบบช่วยเบรกจะทำงานอัตโนมัติเมื่อพบว่ามีความเสี่ยงสูงที่จะชนรถคันหน้าในช่องทางเดียวกัน โดยระบบนี้จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพเมื่อความเร็วต่ำกว่า 30 กม./ชม.

- กล้องมองภาพรอบคันพร้อมเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ (Multi-around Monitor) ทำงานผ่านกล้อง 4 ตำแหน่งรอบตัวรถ ด้านหน้าจะซ่อนไว้ใต้โลโก้ ด้านข้างจะซ่อนไว้ใต้กระจกมองข้าง และด้านหลังจะซ่อนไว้ใกล้กับที่เปิดฝาท้าย หลังจากนั้นประมวลผลและแสดงภาพแบบ Bird’s Eye View ผ่านหน้าจอมอนิเตอร์ภายในรถ ช่วยให้ผู้ขับขี่มองเห็นภาพได้รอบตัวรถ

- ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะเมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (UMS-Ultrasonic misacceleration Mitigation System) ทำงานจะใช้คลื่นอัลตร้าโซนิคตรวจจับวัตถุด้านหน้าหรือด้านหลังในระยะไม่เกิน 4 เมตร ในขณะที่เกียร์อยู่ตำแหน่ง D หรือ R หากมีการเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว ระบบจะทำการตัดกำลังเครื่องยนต์ไว้ประมาณ 5 วินาที ทั้งนี้ระบบจะทำงานที่ความเร็วต่ำกว่า 10 กม./ชม.

- ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (BSW - Blind Spot Warning) ทำงานโดยการใช้คลื่นอัลตร้าโซนิค ซึ่งติดตั้งอยู่บริเวณมุมกันชนทั้ง 4 ด้าน โดยระบบจะส่งสัญญาณไฟเตือนบนกระจกมองข้างให้ผู้ขับขี่ทราบว่ามีรถอยู่ในจุดอับสายตาซึ่งไม่สามารถมองเห็นจากกระจกมองข้าง ในขณะเดียวกันเมื่อเปิดสัญญาณไฟเลี้ยว ระบบจะส่งสัญญาณเสียงเตือนพร้อมสัญญาณเตือนไฟกระพริบบนกระจกมองข้าง โดยระบบจะทำงานที่ความเร็ว 20-140 กม./ชม. และในระยะไม่เกิน 3 เมตร เพื่อลดความเสี่ยงที่จะเกิดอุบัติเหตุจากการเปลี่ยนช่องจราจร


นอกจากนี้ยังมีระบบความปลอดภัยอื่นๆที่แยกตามรุ่นย่อยได้ ดังนี้..
รุ่น GLS-LTD.

- ถุงลมนิรภัยคู่หน้า
- ระบบเบรกแบบ ABS พร้อมระบบกระจายแรงเบรกแบบอิเล็กทรอนิกส์ EBD
- ระบบเสริมแรงเบรก BA
- ระบบลดกำลังเครื่องยนต์ เพื่อช่วยเบรก
- ระบบควบคุมการทรงตัว พร้อมระบบป้องกันล้อหมุนฟรี และควบคุมการลื่นไถล (ASTC - Active Stability and Traction Control)
- ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน (HSA - Hill Start Assist System)
- ระบบรักษาเสถียรภาพการทรงตัวขณะลากจูง (TSA - Trailer Stability Assist System)
- ระบบไฟกะพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ ขณะเบรกกะทันหัน (ESS - Emergency Stop Signal System)
- สัญญาณกะระยะจอดด้านหลัง

รุ่น GT (สิ่งที่ได้เพิ่มจากรุ่น GLS-LTD.)
- ระบบเตือนการชนด้านหน้าตรง พร้อมระบบช่วยชะลอความเร็ว (FCM - Forward Collision Mitigation System)
- กล้องมองภาพหลังขณะถอยจอด พร้อมเส้นกะระยะ (Rear View Camera with Guiding Line)

รุ่น GT-Premium (สิ่งที่ได้เพิ่มจากรุ่น GT)
- ถุงลมนิรภัยด้านข้าง, บริเวณหัวเข่าด้านคนขับ และม่านถุงลมนิรภัย
- ระบบควบคุมความเร็วขณะลงทางลาดชัน (HDC - Hill Descent Control System)
- ระบบตัดกำลังเครื่องยนต์ชั่วขณะ เมื่อเหยียบคันเร่งอย่างรุนแรงและรวดเร็ว (UMS - Ultrasonic Misacceleration Mitigation System)
- ระบบสัญญาณเตือนจุดอับสายตา (BSW - Blind Spot Warning)
- กล้องมองภาพรอบคัน พร้อมเส้นกะระยะและเส้นแสดงทิศทางการเคลื่อนที่ของรถ (Multi Around Monitor with Guiding Line and Expected Course Line)
- สัญญาณกะระยะจอดหน้า-หลัง (Parking Sensor)

       
สรุปแล้ว All New Mitsubishi Pajero Sport ใหม่ มีการปรับปรุงจากรุ่นเดิมค่อนข้างมาก เพิ่มความหรูหราเข้ามาได้อย่างลงตัว ถึงแม้จะมีบางจุดที่ยังทำได้ไม่ดีเท่าที่ควร แต่ส่วนดีก็สามารถกลบลบจุดนั้นไปโดยปริยาย จากการเปิดตัวที่จัด Options มาให้อย่างเยอะ และราคาที่ถูกกว่าคู่แข่งใหม่อย่าง Everest และ Fortuner ทำให้ยอดจองในงานและทั่วประเทศล้นทะลักจนเกินความคาดหมาย จนถึงวันนี้มียอดจองสะสมมากกว่า 10,000 คันเรียบร้อยแล้ว ซึ่งใครที่จองไม่เกินเดือนกันยายนจะได้รับรถทันปีนี้แน่นอน แต่หากใครจองหลังจากนั้นและส่งรถไม่ทันปีนี้ก็จะได้ประกันชั้น 1 ไปแบบฟรีๆกันเลย นี่เป็นผลมาจากการจัดสเปคและราคาที่เหมาะสม ไม่เอาเปรียบผู้บริโภคจนเกินไป และทั้งหมดนี้ก็คือความรู้สึกที่ผมได้เก็บมาเล่าสู่กันฟัง ซึ่งความรักความชอบของแต่ละคนอาจจะไม่เหมือนกัน บทความนี้ก็เขียนไว้เพื่อเป็นอีกข้อมูลในการตัดสินใจ สุดท้ายไปลองขับ ไปลองสัมผัส รับได้กับสิ่งไหน สิ่งนั้นแหละ "คือความสุข"



ติดตามข่าวสารยานยนต์ได้บนแฟนเพจ MZ Crazy Cars คลิกที่นี่
************************************

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น